ไทยส่งหนังสือประท้วง ‘อาเซียน-สหรัฐ-จีน-ยูเอ็น’ หลัง ‘กัมพูชา’ เมินหยุดยิง
เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ แถลงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ปะทะกัน กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการประท้วงผ่านหลายกรอบความร่วมมือ ไม่ว่าจะเป็นอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ค.ศ. 1997 หรืออนุสัญญาออตตาวา, อนุสัญญาเจนีวา และกฎหมายระหว่างประเทศ ขณะที่ในการเจรจาทุกเรื่อง รัฐบาลได้หารือโดยตรงกับกองทัพมาตลอด เพื่อพิจารณาว่าตรงไหนเป็นอย่างไร รับได้แค่ไหน จึงขอให้ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเราปกป้องอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนเต็มที่อยู่แล้ว สำหรับการประชุมที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปเรื่องการหยุดยิง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี และเป็นความพยายามของประเทศไทยที่ต้องการลดความสูญเสีย อีกทั้ง เราสามารถลดความตึงเครียด หยุดการกระทบกระทั่งกันและนำมาสู่ขั้นตอนการเจรจา รวมถึงเราสามารถทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียน สหรัฐอเมริกา และจีน ได้เห็นถึงความสำคัญ และทำให้ได้ยืนยันว่าไทยสามารถดึงกัมพูชากลับมาสู่การเจรจาในกลไกทวิภาคีภายใต้การสังเกตการณ์ของประเทศมหาอำนาจ
นายมาริษ กล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (29 ก.ค.) ตนได้โทรศัพท์พูดคุยกับ ดาโตะ เซอรี อูตามา ฮาจี โมฮามัด บิน ฮาจี ฮาซัน รมว.ต่างประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของตน โดยตนได้อธิบายให้เขาฟังว่ามีการกระทบกระทั่งกัน ตนจึงจำเป็นต้องทำการประท้วงไปที่ประธานอาเซียน ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพและพยาน จากนั้นตนได้ส่งหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปถึงนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาซียนแล้ว รวมทั้งได้ทำหนังสือประท้วงส่งถึงพยานอีก 2 ประเทศ คือสหรัฐและจีนด้วย เพื่อให้พวกเขาตระหนักถึงการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของไทยและกัมพูชา
นายมาริษ กล่าวว่า นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานงานกับสำนักงานของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา และได้มีการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ ระหว่างนายอันวาร์ กับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกฯ เรียบร้อยแล้ว โดยนายภูมิธรรมได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และความพยายามของไทยที่จะประท้วงจากกรณีที่มีการละเมิดข้อตกลง และระหว่างที่นายอันวาร์ กับนายภูมิธรรมกำลังหารือกันนั้น เป็นช่วงที่ประธานาธิบดีอินโดนีเซียอยู่ด้วยพอดี ตนจึงถือโอกาสนี้พูดคุยกับประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ซึ่งท่านก็เข้าใจ สำหรับกรณีที่รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์นั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เราพยายามลดความตึงเครียดของปัญหา และพยายามแก้ปัญหา ขณะเดียวกันขอให้ทุกคนระมัดระวังในเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งหมดเป็นเพื่อตอบเป้าหมายของรัฐบาลและประเทศ โดยเราไม่ยอมเสียอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนอย่างแน่นอน อีกทั้งต้องการที่จะแก้ไขปัญหาอย่างสันติและสุจริตใจ
ผู้สื่อข่าวถามถึงความเชื่อมั่น หลังจากการเจรจาที่มาเลเซียถูกมองว่าเป็นการยินยอม หรือทำให้ไทยเสียเปรียบในเวทีโลกหรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับการยอมรับในเวทีโลก และหลังจากคณะเราเดินทางกลับถึงประเทศไทย เมื่อคืนวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา นายภูมิธรรมได้พูดคุยกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐ ให้เกียรติและชื่นชมประเทศไทยว่าสิ่งที่รัฐบาลไทยทำเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมานั้น จะทำให้สันติภาพเกิดขึ้นในอาเซียน จึงไม่มีประโยชน์ในการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา และประธานาธิบดีทรัมป์พูดอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ตัดสินใจในครั้งนี้ ได้รับการชื่นชมจากนานาอารยประเทศที่จะเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างสันติ ขณะที่นายภูมิธรรมย้ำว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น ดังนั้น ประชาชนควรชื่นชมสิ่งที่รัฐบาลไทยทำเพื่อแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี
เมื่อถามว่าถือว่าไทยได้เปรียบหรือเสียเปรียบกัมพูชา นายมาริษ กล่าวว่า ระหว่างการเจรจาที่มาเลเซีย มี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม นั่งอยู่ด้วย และได้ติดต่อกองทัพตลอด ตนขอย้ำว่ารัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม ทำหน้าที่เพื่อปกป้องอธิปไตยและลดความสูญเสีย
ต่อข้อถามว่ากรณีที่กัมพูชาพยายามบิดเบือน ส่งผลให้ไทยเสียเปรียบหรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า เราชี้แจงด้วยความอดทนอดกลั้น และเราพูดข้อเท็จจริง เป็นสุภาพบุรุษ จึงไม่ต้องกังวลสายตาโลก ซึ่งนอกเหนือจากหนังสือประท้วงดังกล่าวแล้ว เรายังส่งหนังสือไปถึงเอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก และนครเจนีวา ตนเชื่อว่าสุดท้ายความจริงก็คือความจริง หากเชื่อข้อมูลบิดเบือนได้ โลกก็ไม่มีความสงบสุข จึงขออย่ากังวล เพราะภาพลักษณ์เราดีมาก นอกจากนี้ นายแอลมานูแอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้ส่งข้อความแสดงความยินดี และหลังจากนี้ ตนจะหารือกับ รมว.ต่างประเทศเวียดนาม ซึ่งจะได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวต่อฝ่ายเวียดนามด้วย