สภาสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายกำกับดูแล Stablecoin ส่งต่อทรัมป์ลงนาม
การลงมติครั้งนี้ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งได้เรียกร้องให้มีการออกกฎหมายในระดับรัฐบาลกลางมาเป็นเวลาหลายปี พร้อมทั้งทุ่มเงินสนับสนุนผู้สมัครที่สนับสนุนคริปโตในการเลือกตั้งครั้งก่อน
นอกจากร่างกฎหมาย Stablecoin แล้ว สภาผู้แทนราษฎรยังได้ผ่านร่างกฎหมายอีก 2 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับคริปโต ได้แก่ ร่างกฎหมาย Clarity Act ที่จัดตั้งกรอบกำกับดูแลตลาดคริปโต และร่างกฎหมายที่ห้ามรัฐบาลสหรัฐฯ ออกสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) โดยร่างกฎหมายทั้งสองฉบับนี้จะถูกเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป
ร่างกฎหมาย Genius Act: กำกับดูแล Stablecoin อย่างรัดกุม
ร่างกฎหมายที่มีชื่อว่า “Genius Act” ซึ่งว่าด้วยการกำกับดูแล Stablecoin ได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองพรรค ด้วยคะแนน 308 ต่อ 122 เสียง กำหนดให้ Stablecoin ต้องมีการหนุนหลังด้วยสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ และพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้น พร้อมกำหนดให้ผู้ออกเหรียญต้องเปิดเผยองค์ประกอบของสินทรัพย์หนุนหลังในแต่ละเดือนต่อสาธารณะ
อุตสาหกรรมคริปโตได้ผลักดันให้ฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมายเพื่อสร้างความชัดเจนด้านกฎระเบียบ โดยเชื่อว่าการมีกฎหมายรองรับจะช่วยให้ Stablecoin และโทเคนประเภทอื่นสามารถใช้งานได้อย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น โดยในช่วงการเลือกตั้งปีที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจคริปโตได้ทุ่มงบประมาณกว่า 119 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนผู้สมัครที่มีแนวทางสนับสนุนคริปโต
ทั้งนี้ แม้สภาผู้แทนราษฎรจะเคยผ่านร่างกฎหมาย Stablecoin เมื่อปีที่แล้ว แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ได้รับการพิจารณาโดยวุฒิสภาซึ่งในขณะนั้นพรรคเดโมแครตยังคงครองเสียงข้างมาก
ร่างกฎหมาย Clarity Act: กำหนดสถานะคริปโตเป็นสินค้าโภคภัณฑ์
ร่างกฎหมาย Clarity Act ซึ่งผ่านการลงคะแนนด้วยคะแนน 294 ต่อ 134 เสียง มีเป้าหมายเพื่อระบุอย่างชัดเจนว่าโทเคนคริปโตประเภทใดควรจัดเป็นหลักทรัพย์ และประเภทใดควรเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวางระหว่างคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) กับภาคเอกชน
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมคริปโตต่างผลักดันให้โทเคนส่วนใหญ่ได้รับการจัดประเภทเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากจะสามารถให้บริการลูกค้าได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์
อย่างไรก็ดี สมาชิกสภาบางส่วนจากพรรคเดโมแครตได้ออกมาต่อต้านร่างกฎหมายดังกล่าว โดยระบุว่าอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อโครงการคริปโตของทรัมป์เอง ซึ่งรวมถึงเหรียญมีมที่ชื่อว่า $TRUMP และกิจการด้านคริปโต World Liberty Financial ที่มีทรัมป์ถือหุ้นบางส่วน
ทำเนียบขาวระบุว่าทรัมป์ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในประเด็นนี้ เนื่องจากทรัพย์สินทั้งหมดอยู่ในความดูแลของทรัสต์ที่บริหารโดยบุตรของเขา
การห้ามออกเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง
ร่างกฎหมายฉบับที่สามที่สภาผ่านในครั้งนี้ คือร่างกฎหมายห้ามการจัดตั้งเงินดิจิทัลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (CBDC) โดยพรรครีพับลิกันให้เหตุผลว่าการมี CBDC อาจเป็นการละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในสภาในสัปดาห์ที่ผ่านมา