STECH ครึ่งปีแรกโชว์ Backlog 700 ลบ. เดินหน้าขยายฐานผลิต รองรับเมกะโปรเจกต์อีกหลายโครงการ
STECH เผยปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) สะสมกว่า 700 ล้านบาท พร้อมลุยประมูลงานโครงสร้างพื้นฐานและเอกชนต่อเนื่อง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังท้าทาย แต่มั่นใจตลาดคอนกรีตอัดแรงยังสดใส หนุนเป้ารายได้ปีนี้โต 5% ตามแผน
นายเจษฎ์กรณ์ มงคลศรีสวัสดิ กรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาดและการขาย บมจ. สยามเทคนิคคอนกรีต หรือ STECH เปิดเผยว่าแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 บริษัทฯ เชื่อว่ายังสามารถเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา จากปัจจุบันมีงานที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ 700 ล้านบาท อีกทั้ง บริษัทฯ มีความพร้อมร่วมประมูลงานโครงการใหม่จำนวนมากทั้งภาครัฐและงานภาคเอกชนที่มีความต้องการก่อสร้างโรงงานเพิ่มขึ้น แม้สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันถือเป็นความท้าทายมาก แต่เชื่อว่าตลาดคอนกรีตอัดแรงในไทยยังมีความต้องการ เพราะต้องรองรับแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ
ปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 5% เชื่อว่าจะทำได้ตามแผน
สำหรับแผนธุรกิจในปี 2568 STECH ยังคงเดินหน้าในการบริหารจัดการต้นทุนโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการขยายตลาดเน้นการขยายฐานลูกค้าและรักษาฐานลูกค้าเก่า เราก็พยายามทำให้ดีที่สุด โดยจะเพิ่มยอดขายส่วนงานเสาไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ที่ผ่านมาเรามุ่งเน้นงานด้านโครงสร้างพื้นฐานเสาเข็ม เป็นหลัก และสุดท้ายมุ่งเน้นด้าน ESG มากขึ้น โดย STECH มุ่งเน้นใช้ปูนคาร์บอนต่ำ และใช้ลวดเหล็ก ของ บริษัท สยามสตีลไวร์ จำกัด (SSW) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เป็นโรงงานผลิตลวดเหล็ก “ลวดรักษ์โลก” ซึ่งมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยไม่ต้องใช้น้ำกรดซึ่งเป็นกรดไฮโดรคลอริคเข้มข้นในการกัดลวดโลหะให้สะอาดเหมือนในอดีต จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ส่วนการเข้าลงทุนในวังคอนกรีต บริษัทสามารถทำได้ดีตามแผน โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากพันธมิตรทางการค้าและลูกค้าในพื้นที่ ในการรองรับตลาดทางภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่บริษัทฯ ยังไม่มีโรงงาน เพราะเล็งเห็นว่าเป็นการเพิ่มช่องทางสำหรับการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้
และล่าสุดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 คณะกรรมการบริษัท STECH มีมติการประชุมให้มีการเพิ่มทุนในบริษัทย่อย คือ บริษัท วังคอนกรีต จำกัด อีก 10,000 หุ้น หลังจากการเพิ่มทุนจะมีหุ้นสามัญทั้งหมด 30,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1,000 บาท โดยบริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้น 100% ซึ่งวัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุนเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต