‘ทุนสำรอง’ พุ่งทุบสถิติใหม่ จับตา ’แบงก์ชาติ‘ คุมเงินบาทแข็งค่า
“ค่าเงินบาท” ยังเป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุนและผู้ประกอบการจับตาอย่างใกล้ชิด หลังจากปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยหากนับตั้งแต่ต้นปี จนถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าไปแล้วกว่า 5% และจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อเนื่อง
ส่งผลต่อ “ทุนสำรองระหว่างประเทศ” ของไทยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ “นิวไฮ” หรือสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปัจจุบัน นั้นกลับเป็นประเด็นที่ตลาดจับตาว่าอาจมาจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าไปแทรกแซงเงินบาทเพื่อไม่ให้แข็งค่าจนเกินไป ซึ่งทำให้ทุนสำรองฯ เร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง
นายสงวน จุงสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า แนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง จากปัจจัยหลักจากภายนอกเป็นหลัก จากการ “อ่อนค่า” ของเงินดอลลาร์ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา
ทั้งนี้ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 5% หากเทียบตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวคล้ายกับค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย เช่น เกาหลีและไต้หวัน ที่แข็งค่าประมาณ 6-8% ส่งผลให้ ธปท. เข้าแทรกแซงตลาดโดยการซื้อดอลลาร์ และขายเงินบาทเพื่อดูแลไม่ให้เงินบาทแข็งค่ามากเกินไปหรือเร็วเกินไป
นอกจากนี้ ราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสริมที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้คาดการณ์ว่าทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องเข้ามาดูแลค่าเงินบาทใกล้ชิด
ซึ่งเป็นเหตุผลทำให้ ยอดค้างดอลลาร์ในบัญชีทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกับปัจจุบันที่ทุนสำรองฯ ขึ้นมาทำระดับสูงสุดใหม่ที่ระดับกว่า 2.8 แสนล้านดอลลาร์
“สถานการณ์วันนี้คล้ายกับปี64 แต่ต่างกันตรงที่วันนี้เฟดไม่ได้ลดดอกเบี้ยเหลือ 0% เหมือนปี64 แต่การอ่อนค่าดอลลาร์ยังคงอยู่ ทำให้วันนี้หลายประเทศทุนสำรองขึ้นมาทำระดับสูงสุด ทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย เหมือนประเทศไทยที่ทุนสำรองทำระดับนิวไฮต่อเนื่อง”
- จับตาบาทแข็งค่า31.50บาท/ดอลล์
หากดูทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนระยะข้างหน้า คาดว่า น่าจะแข็งค่าต่อเนื่อง โดยมีโอกาสแข็งค่าไปแตะระดับที่ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือหลุดระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ได้ในช่วงปลายปี ทั้งนี้ให้กรอบเคลื่อนไหวเงินบาทระยะสั้นๆที่ 32.20-32.30 บาทต่อดอลลาร์
“การที่ทุนสำรองเราเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง น่าจะมาจากความต้องการลดความผันผวนของค่าเงินบาทบาท เพราะธปท.ไม่ต้องการให้ค่าเงินบาทผันผวนมากจนเกินไป เพื่อให้ภาคเศรษฐกิจจริงสามารถปรับตัวและบริหารจัดการความเสี่ยงได้”
- กสิกรไทย เปิด 3 ปัจจัยหนุนทุนสำรองพุ่ง
ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การที่ทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศไทย ขึ้นมาทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดย ณ 22 ส.ค. 2568 ทุนสำรองระหว่างประเทศสุทธิ (Net Reserve) อยู่ที่ 289,681 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ การที่ทุนสำรองขึ้นมาทำระดับสูงสุดประวัติการณ์ มาจาก 3 เหตุผลหลัก 1.การเข้าดูแลค่าเงินของ ธปท. เพื่อลดความผันผวนของค่าเงินบาท ในจังหวะที่ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่า การเข้าดูแลนี้ก็จะทำให้ตัวเลขทุนสำรองระหว่างประเทศขยับเพิ่มขึ้น
2.การตีมูลค่าสินทรัพย์ตามราคาตลาด (Mark-to-Market) หรือการตีมูลค่าสินทรัพย์ที่อยู่ในทุนสำรองตามราคาตลาด หากสินทรัพย์เหล่านั้นมีราคาสูงขึ้นในตลาดโลก ก็จะทำให้มูลค่าทุนสำรองเพิ่มขึ้นด้วย ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำ
โดยระยะหลังๆ สัดส่วนของทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันสัดส่วนทองคำในทุนสำรอง ขึ้นมาอยู่ที่ 9.5% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องหากเทียบกับ 10 ปีย้อนหลัง ปลายปี 2558 ที่สัดส่วนทองคำอยู่ที่ 3.4% และหากย้อนหลังไปถึงปี 2548 สัดส่วนทองคำอยู่เพียง 2.6%
ดังนั้นจะเห็นว่าสัดส่วนของทองคำได้ขยับเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จาก 2.6% เป็น 3.4% และมาเป็น 9.5% ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาที่ราคาทองคำมีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เมื่อแปลงเป็นมูลค่าตามราคาตลาดแล้ว ทุนสำรองจึงเพิ่มขึ้น
3.ดุลการชำระเงินของประเทศที่เป็นบวก จากโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีการส่งออกและนำเข้า รวมถึงการเคลื่อนไหวของเงินทุน หากดุลการชำระเงินสุทธิเป็นขาเข้าหรือเป็นบวก ก็จะทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น
- ทุนสำรองสูงหนุนไทยรับช็อก-ดูแลเสถียรภาพ
อย่างไรก็ตาม การที่ทุนสำรองของไทยอยู่ระดับสูง ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และมีความสำคัญต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ที่ทำหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ที่สำคัญ เพื่อรองรับประเด็นด้านเสถียรภาพของตลาดการเงิน อีกทั้ง หากประเมินความเพียงพอของทุนสำรอง ซึ่งประเทศไทยมีสถานะที่ดีมาก ทั้งหากเทียบกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้นที่อยู่เพียง 2.7 เท่า
ทั้งนี้ แสดงให้เห็นว่ามีความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นได้สูงกว่าเกณฑ์มาก ถือเป็นสิ่งที่ดีและเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงเสถียรภาพภาคต่างประเทศ ทั้งนี้หากเทียบทุนสำรอง เทียบกับการนำเข้า สามารถรองรับการนำเข้าได้ ถึง 9.5 เดือน ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม หากดูการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ปัจจุบัน เงินบาทมาแข็งค่าอยู่ที่ 32.28 บาทต่อดอลลาร์ ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดของปีนี้ ทั้งนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นแล้ว 5.6% ซึ่งถือว่าอยู่ระดับกลางๆ หากเทียบกับประเทศในภูมิภาค
สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาทในระยะสั้น ค่าเงินบาทมีโอกาสที่ไปแข็งค่าลงไปทดสอบระดับ 32.10 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดแข็งค่าที่สุดของปีนี้ที่เคยทำไว้ ปัจจัยที่หนุนให้เงินบาทแข็งค่าและกดดันเงินดอลลาร์ ทั้งจากประเด็นการลดดอกเบี้ยเฟด ประเด็นเกี่ยวกับความเป็นอิสระของ Fed และแรงกดดันต่างๆผลข้างเคียงของนโยบายภาษี (tariff policy) ที่มีต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ
รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้คนไม่นิยมถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงนี้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ้นปี คาดการณ์เงินบาทน่าจะอยู่ที่ 33.7 บาทต่อดอลลาร์
หากดูความผันผวนของเงินบาท พบว่าผันผวนสูงขึ้น หากเทียบกับตัวเองในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่ค่าความผันผวนอยู่เพียง 3-5% มาอยู่ที่ปัจจุบันที่ผันผวนสูงราว 7-9%
- บาทแข็งจากตีราคาสินทรัพย์-ธปท.ดูแลเงินบาท
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง ซึ่งมาจากสองปัจจัยหลักทั้ง การประเมินมูลค่าสินทรัพย์ (Valuation) และการเข้าดูแลค่าเงินบาทของธปท.
โดยเฉพาะด้าน Valuation นั้นจากสกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นได้ส่งผลให้มูลค่าของสินทรัพย์ที่ไทยถือครองอยู่ในรูปสกุลเงินยูโรมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยหนุนให้ทุนสำรองโดยรวมเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งจากธปท.เข้ามาแทรกแซงเพื่อดูแลค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว สังเกตจากแรงซื้อเงินดอลลาร์จำนวนมากในตลาด โดยเฉพาะเมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าลงมาอยู่ในระดับประมาณ 32.25 บาทต่อดอลลาร์ระดับดังกล่าวถือเป็นระดับแนวรับที่มักจะมีแรงเข้าซื้อดอลลาร์ ทำให้ช่วยพยุงไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินไป
อย่างไรก็ตามมองว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้ทุนสำรองของไทยเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เพียงเพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการลดความผันผวนของค่าเงินบาทอีกด้วย
หวั่นไทยถูกสหรัฐมองไทยบิดเบือนค่าเงิน
ทั้งนี้ ข้อดีและข้อเสียของการมีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูงมองว่า ข้อดีแสดงให้เห็นถึงเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยที่แข็งแกร่งขึ้น ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในสายตานักลงทุนต่างชาติ
โดยหากเกิดสถานการณ์ Global Risk-off ที่นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ทั่วโลก ไทยก็อาจจะถูกเทขายในสัดส่วนที่น้อยกว่าประเทศอื่นได้ เนื่องจากเรามีเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่สูงยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังอยู่ในสถานะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง จากการส่งออกที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงไตรมาสที่สาม
แต่อย่างไรก็ตาม ผลเสีย ของการมีทุนสำรองมากเกินไป อาจทำให้ไทยอาจถูกสหรัฐมองว่าบิดเบือนค่าเงินได้ ที่สหรัฐอาจจับตาใกล้ชิดได้มากขึ้น ที่อาจทำให้ไทยถูกจับตา และมีความเสี่ยงที่อาจจะถูกจัดกลับเข้าไปอยู่ในรายชื่อประเทศที่ถูกจับตา (monitoring list) ของสหรัฐได้