‘สิงห์ เอสเตท’ดันพอร์ตครึ่งหลัง โรงแรม-พื้นที่เช่า โตรับไฮซีซัน
นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานครึ่งหลังปี 2568 คาดดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก โดยกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring income ) ทั้งธุรกิจโรงแรม และอาคารสำนักงาน ซึ่งเป็นรายได้หลัก ยังมีผลประกอบการที่ดี และมีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี มีเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ จะเป็นช่วงที่ดีสุดของธุรกิจโรงแรม
อย่างไรก็ตาม ปีนี้คาดสัดส่วนรายได้หลัก 80% จะมาจากกกลุ่ม Recurring income ทั้งโรงแรมและให้บริการเช่าพื้นที่ อีกส่วนราว 20-25% จะมาจากกลุ่มธุรกิจไม่ประจำ (Non recurring income) อย่าง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย และการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมที่จะเข้ามากระตุ้นยอดขายเป็นช่วง ๆ เช่น การโอนที่ดินแปลงใหญ่ในนิคมฯ หรือโอนแพกเกจที่พักอาศัย จะมาช่วยเพิ่มยอดขายและกำไรในแต่ละไตรมาส
“เราให้ความสำคัญความแข็งแกร่งของ Recurring income สอดคล้องกับโครงสร้างค่าใช้จ่าย ต้นทุนทางการเงินของเรา ที่พยายามจัดการให้มีกำไรอย่างยั่งยืนกำไรจาก Recurring income มากกว่าค่าใช้จ่ายประจำ และใช้ Non recurring income สร้างกำไรเป็นช่วงๆ ตามกลยุทธ์ที่วางแผนสร้างรายได้และกำไรในแต่ละปี”
โดยปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจ 4 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ
1. ธุรกิจโรงแรม
คาดจะสร้างรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 10,000 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจโรงแรมครึ่งปีหลังจะดีขึ้นต่อเนื่อง หลังผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ปี 2568 ไปแล้ว ซึ่งแนวโน้มรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) ไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ จากโรงแรมในทุกประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะโรงแรมในไทยและมัลดีฟส์ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ
2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์
วางเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 2-5% จากการได้ลูกค้าใหม่ที่เข้ามาเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมี 5 อาคาร และ มีพื้นที่ให้เช่ารวม 191,640 ตารางเมตร ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเช่าเฉลี่ยอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
3.ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม
มองว่า การมาของ Daily Foods ในครั้งนี้นอกจากจะมีรายได้จากขายที่ดินแล้ว ยังสนับสนุนรายได้อื่นๆ จากการให้บริการสาธารณูปโภคภายในนิคมให้เติบโตขึ้นด้วย นอกจากนี้ Daily Foods เป็นธุรกิจที่มีเครือข่ายที่ใหญ่ ประกอบกับยังมีซัพพลายเออร์ และ Vendor ของ Daily Foods ได้เข้ามาสอบถามข้อมูลในนิคมฯของบริษัทมากขึ้น โดยคาดในช่วงครึ่งหลังนี้จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพิ่มอีกอย่างน้อย 1-2 แปลงขนาดใหญ่
ปัจจุบันมีที่ดินเหลือขายประมาณ 900 ไร่ ซึ่งในช่วงเดือนส.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการโอนที่ดิน 1 แปลงใหญ่ ขนาด 75 ไร่ ยอดขายประมาณ 300 ล้านบาท ให้กับลูกค้าในกลุ่มธุรกิจ Daily Foods ที่ดินอันดับ 3 ในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของจีนที่จะเตรียมมาเปิดตลาดในอาเซียน
4.ธุรกิจที่อยู่อาศัยเพื่อขาย
คาดปีนี้จะมียอดขายเติบโตตามเป้าหมาย 3,000 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 1,200-1,400 ล้านบาท ยังคาดช่วงครึ่งหลังยังดีขึ้นต่อเนื่อง จากการเปิดขายโครงการใหม่ และการปรับสินค้าในโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าในปัจจุบัน
ล่าสุดบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวม 971 ล้านบาท โดยมาจากโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย 9 โครงการ ซึ่ง Backlog ดังกล่าวจะทยอยโอนช่วงครึ่งหลังทั้งหมด
“บ้านกลุ่มลักซ์ชูรี่ ไฮเอนท์ เกิน 50 ล้านขึ้นไป ช่วงนี้อาจมีชะลอการตัดสินใจซื้อ แต่ยังเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการซื้อทรัพย์สิน เมื่อไรที่ความมั่นใจลงทุนอสังหาฯ แล้วไม่กระทบพอร์ตรวมคาดยอดขายจะกลับมา“
วางแผนออกหุ้นกู้ระยะยาว ปีละ 2 รอบ
นายชัยรัตน์ กล่าวว่า มุ่งสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและความน่าเชื่อถือกับสถาบันการเงินและผู้ถือหุ้นกู้มาตลอด โดยกำหนด สัดส่วนการระดมทุน พยายามปรับให้การออกหุ้นกู้สัดส่วนไม่เกิน 1 ใน 3 ของแหล่งระดมทุนทั้งหมด
ดังนั้น แผนการออกหุ้นกู้ในปีนี้ คงไม่มีความจำเป็นออกแล้วหลังครึ่งปีแรก ออกหุ้นระยะยาว 2-3 ปี สองรอบและระยะสั้น 9 เดือน อีกครั้งในครึ่งปีแรกแต่หลังจากนี้ จะพยายามเตรียมวางแผนออกหุ้นกู้ระยะยาว 2-3ปี ปีละ2 รอบให้นักลงทุนวางแผนการเงินส่วนหุ้นกู้ระยะสั้น จะมีการออกตามหุ้นกู้ที่ครบกำหนด เพื่อบริหารเงินทุนหมุนเวียนและบริหารสภาพคล่องเป็นหลัก