หุ้นโรงกลั่น-ปิโตรฯ กอดคอบวก BCP-SPRC พุ่งนำกลุ่ม 3.08% โบรกเผย รับแรงหนุนรัสเซียถูกโจมตี-ญี่ปุ่นปิดกำลังผลิต
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ณ วันที่ 2 ก.ย.2568 เวลา 10.50 น. หุ้นกลุ่มปิโตเคมีและกลุ่มโรงกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดย
หุ้น BCP บวก 3.08% เพิ่มขึ้น 1.00 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 33.50 บาท
หุ้น SPRC บวก 3.07% เพิ่มขึ้น 0.14 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 4.70 บาท
หุ้น BSRC บวก 2.97% เพิ่มขึ้น 0.14 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 4.86 บาท
หุ้น PTTGC บวก 2.86% เพิ่มขึ้น 0.75 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 27.00 บาท
หุ้น IVL บวก 1.38% เพิ่มขึ้น 0.30 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 22.10 บาท
หุ้น TOP บวก 0.75% เพิ่มขึ้น 0.25 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 33.50 บาท
จักรพงศ์ เชวงศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ปัจจัยหนุนกลุ่มโรงกลั่นมาจากในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการโจมตีโรงกลั่นน้ำมันในรัสเซียโดยยูเครน ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิตน้ำมันทั่วโลก โดยคาดว่ากระทบประมาณ 300,000 กว่าบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้กลุ่มโรงกลั่นมีผลงานที่ดีขึ้นในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา
ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมี พบว่าเมื่อเร็วๆ นี้บริษัทญี่ปุ่นประกาศจัดตั้ง บริษัทร่วมทุนเพื่อศึกษาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยมีเป้าหมายในการทำให้เกิด Carbon Neutrality ซึ่งอาจนำไปสู่การปิดกำลังการผลิตเพิ่มเติมในประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้ ภาพรวมของการประกาศปิดกำลังการผลิตทั่วโลกในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีจำนวนมากพอที่จะทำให้ทั้งอุตสาหกรรมกลับสู่ภาวะปกติ หรือออกจากวัฏจักรขาลงได้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการปิดกำลังการผลิตดังกล่าวต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี
สำหรับคำแนะนำนักลงทุน ให้เน้นไปที่หุ้น PTTGC เนื่องจาก Valuation ไม่แพง และได้รับผลบวกจากการปิดกำลังการผลิตของโรงงานปิโตรเคมี และ TOP คาดว่า กำไรหลัก ในไตรมาส 3/68 จะแข็งแกร่ง จากส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 2-3 เหรียญสหรัฐฯ โดยในระยะสั้น ยังคงแนะนำ "ซื้อ" ในกลุ่มนี้ ส่วนในระยะยาวสำหรับกลุ่มปิโตรเคมี แนะนำให้ "ถือยาวๆ" เพื่อรอให้อุตสาหกรรมพ้นจากวัฏจักรขาลง เนื่องจากกำลังการผลิตที่ประกาศปิดทั่วโลกนั้นมากพอที่จะทำให้อุตสาหกรรมพลิกฟื้นได้ แม้ว่าจะต้องใช้เวลา 1-2 ปีในการทยอยปิด ซึ่งเมื่อกำลังการผลิตทยอยปิดลง ส่วนต่างราคาจะเริ่มฟื้นตัว ซึ่งจะทำให้มูลค่าหุ้นที่ปัจจุบันยังต่ำมากเมื่อเทียบกับในอดีตนั้นปรับตัวสูงขึ้น