HTECHออเดอร์ไหลเข้าพอร์ต คลาวด์-ดาต้าหนุนกำลังผลิต
#HTECH #ทันหุ้น – HTECH แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/2568 คาดเติบโตใกล้เคียง QoQ ทั้งปริมาณออเดอร์ รายได้ และกำไร โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวกับ HDD ลูกค้าเริ่มคลายความกังวลเรื่องภาษีนำเข้าสหรัฐ ทั้งนี้ภาพรวมครึ่งปีหลังยังมีแรงหนุนจากความต้องการ Cloud และ Data Storage ขณะที่ยังมีความกังวลเรื่องความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
นายพีท ริมชลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HTECH ประกอบธุรกิจเป็นผู้ผลิต รับจ้างผลิตและจำหน่ายเครื่องมือตัดเฉือนโลหะ สำหรับใช้ในการผลิตชิ้นงานที่มีความเที่ยงตรงสูง เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/2568 คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 2/2568 ในด้านของปริมาณออเดอร์ รายได้ และกำไรยัง เนื่องจากความกังวลของลูกค้าเกี่ยวกับ Data Storage (หน่วยเก็บข้อมูล) หรือ Digital Storage (หน่วยเก็บข้อมูลดิจิทัล) ที่เกี่ยวกับฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (HDD) หรือ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล เริ่มคลี่คลายลง ทำให้ปริมาณการสั่งซื้อคงที่เมื่อเทียบ QoQ
โดยธุรกิจฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟเป็นส่วนประกอบที่มีความจำเป็นสูง และไทยแหล่งผลิตรายใหญ่ ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการทำ Hard Disk ส่วนใหญ่มาจากบริษัท โดยปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิต 3 แห่ง ในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม และประเทศสหรัฐอเมริกา และมีบริษัทย่อยที่เป็นตัวแทนจำหน่ายใน 7 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ ไทย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, มาเลเซีย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย และสหรัฐอเมริกา
@Cloud-Data หนุนธุรกิจ
ทั้งนี้ภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งหลัง 2568 ยังเป็นทิศทางบวกอยู่ จากปัญหาเรื่องภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่ชัดเจนขึ้น รวมถึงยังมีแรงส่งในเรื่องของ Cloud และ Data Storage โดยเฉพาะผู้เล่นรายใหญ่ที่จะเข้ามาลงทุนในไทย แต่คาดว่าจะยังไม่เกิดขึ้นจริงในปีนี้ ซึ่งมองว่าความต้องการระยะยาวในช่วงปีหน้าจะสูงขึ้นอย่างแน่นอน
ขณะที่ยังมีปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาส่งผลกระทบต่อลูกค้าบางรายที่ลงทุนในพื้นที่นั้น ส่วนสถานะการณ์ทางการเมืองไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทโดยตรง เนื่องจากบริษัทไม่ได้มีงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการของรัฐบาล และไม่ได้เป็นผู้รับเหมาหรือรับสัมปทาน
@จับตาค่าเงินครึ่งปีหลัง
ในส่วนปัญหาที่น่าเป็นห่วง คือ เรื่องของค่าเงิน แม้ว่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสินค้าที่ส่งออกในกลุ่มเอเชีย และสินค้ากลุ่มฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟของบริษัทขายเป็นเงินบาท ขณะที่ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในไตรมาส 3/2568 คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 2/2568
แต่เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีแนวโน้มว่าจะลดดอกเบี้ยทำให้ค่าเงินต่างๆ ทั่วโลกแข็งค่าขึ้น ทำให้ยังมีความกังวลเรื่องความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้นบริษัทยังคงศึกษาว่าการซื้อขายด้วยสกุลเงินอื่นจะได้รับประโยชน์หรือเสียเปรียบอย่างไร
อย่างไรก็ดีเรื่องการจัดตั้งบริษัทย่อยที่ฟิลิปปินส์ เป็นย้ายฐานการผลิตจากบริษัทเดิมในฟิลิปปินส์ที่มีแล้วซึ่งปัจจุบันมี 2 แห่ง ได้ย้ายเข้ามาในเขต PhilippineEconomic Zone Authority (PEZA) ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษี เช่น ยกเว้นภาษีนำเข้า, ลดหรือยกเว้นภาษีเงินได้, ลดภาษีจากกำไร คาดว่าจะเสร็จภายในไตรมาส 3/2568 แต่ยอดขายในฟิลิปปินส์ไม่ได้ใหญ่มาก ยังไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาพรวมของกลุ่มบริษัท