สรุปผลประกอบการบริษัทอสังหาฯ ครึ่งปีแรกของ 2568
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 ยังคงเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคมีแนวโน้มชะลอการตัดสินใจซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ จากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวช้ากว่ากำลังซื้อที่แท้จริง อีกทั้งยังเผชิญกับปัจจัยกดดันด้านราคาที่ดินที่ปรับสูงขึ้น ต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มต่อเนื่อง และซัพพลายที่ยังเหลือขายในตลาด ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยในครึ่งปีแรกมีแนวโน้มอ่อนตัวลง ทั้งในด้านรายได้และกำไรสุทธิมีแนวโน้มอ่อนตัวลง ทั้งในด้านรายได้และกำไรสุทธิมีแนวโน้มอ่อนตัวลง ทั้งในด้านรายได้และกำไรสุทธิมีแนวโน้มอ่อนตัวลง ทั้งในด้านรายได้และกำไรสุทธิมีแนวโน้มอ่อนตัวลง ทั้งในด้านรายได้และกำไรสุทธิ สะท้อนถึงความเปราะบางและความท้าทายของอุตสาหกรรมได้อย่างชัดเจน พร้อมตอกย้ำถึงผลกระทบจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ถ่วงกำลังซื้อของผู้บริโภค
AP Thailandผู้นำตลาดอสังหาฯ ที่มีรายได้รวมสูงที่สุด อยู่ที่ 17,787 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 17,846 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,870 ล้านบาท ซึ่งลดลง 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 10.5% ส่วนอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.99 แสดงให้เห็นถึงการบริหารโครงสร้างเงินทุนที่สมดุลและความระมัดระวังในการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน
Sansiri ตามมาในอันดับสองด้วยรายได้รวม 15,927 ล้านบาท ลดลง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 2,028 ล้านบาท ลดลง 25% แม้จะมีการลดลงของรายได้และกำไร แต่แสนสิริยังคงรักษาอัตรากำไรสุทธิที่ 12.2% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ อัตราส่วน D/E ที่ 1.94 ถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
Land and Housesอยู่อันดับสามด้วยรายได้ 10,898 ล้านบาท ลดลง 20% แต่มีกำไรสุทธิ 2,212 ล้านบาท ลดลงเพียง 2% แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารต้นทุนที่ดี สามารถรักษากำไรสุทธิไว้ได้แม้ในสภาวะที่รายได้ลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 20.3% ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ของตลาด อัตราส่วน D/E ที่ 1.70 อยู่ในระดับที่เหมาะสมและแสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการทางการเงินที่ดี
Supalaiแสดงผลประกอบการที่น่าประทับใจเมื่อพิจารณาจากประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุน ด้วยรายได้ 10,667 ล้านบาท ลดลง 17% แต่สามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ระดับสูงถึง 14.3% โดยมีกำไรสุทธิ 1,509 ล้านบาท ลดลง 32% อัตราส่วน D/E ที่ 0.83 แสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการหนี้สินที่สมดุลและมีความเสี่ยงที่ต่ำ
SC Assetมีรายได้สุทธิอยู่ที่ 7,969 ล้านบาท ลดลง 10% และมีกำไรสุทธิ 531 ล้านบาท ลดลง 26% โดยอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 6.8% อัตราส่วน D/E ที่ 1.89 ซึ่งอยู่ในระดับที่ยอมรับได้สำหรับอุตสาหกรรมอสังหาฯ การที่รายได้ลดลงเพียง 10% เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในกลุมแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการรักษาส่วนแบ่งตลาดได้ดีในสภาวะตลาดที่ชะลอตัว
จากมุมมองอัตราส่วนทางการเงิน Q House โดดเด่นด้วยอัตรากำไรสุทธิสูงสุดที่ 23.1% แม้จะมีรายได้เพียง 3,189 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 736 ล้านบาท ลดลง 34% อัตรากำไรสุทธิที่สูงนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนที่ดี แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานและกลยุทธ์การตั้งราคาที่เหมาะสม ทำให้ QH สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้มากกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน
อัตราส่วน D/E (Debt to Equity) แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในการบริหารจัดการทางการเงินของแต่ละบริษัท โดย NOBLE มีอัตราส่วน D/E สูงสุดที่ 3.28 ซึ่งสะท้อนถึงการใช้หนี้สินในการดำเนินงานสูง ในขณะที่ พฤกษา มีอัตราส่วนต่ำสุดที่ 0.49 แสดงให้เห็นถึงสภาพคล่องทางการเงินและความเสี่ยงด้านหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำ
แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากกำลังซื้อในประเทศที่ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการสนับสนุน เช่น การปรับเกณฑ์ LTV และการลดค่าธรรมเนียมการโอน แต่ผลลัพธ์ในเชิงบวกยังไม่ปรากฏชัดเจนในระยะสั้น ทั้งนี้ ภาพรวมในช่วงครึ่งปีแรกสะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยอยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้างครั้งสำคัญ โดยบริษัทที่มีความแข็งแกร่งทางการเงิน บริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถปรับตัวตามทิศทางตลาดได้ จะเป็นผู้ที่มีโอกาสเติบโตและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว