นำร่อง ‘คริปโต’ ชำระสินค้า ดึงต่างชาติใช้จ่าย 1.75 แสนล้าน
กระทรวงการคลังเปิดตัว “โครงการ TouristDigiPay” มิติใหม่ของการชำระเงินสำหรับนักท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ภายใต้ Sandbox ที่มีการควบคุมความเสี่ยงอย่างเหมาะสม โดยร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรที่สำคัญ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถือครองอยู่เป็นเงินบาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าต่าง ๆ ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดยกระบวนการทั้งหมดจะดำเนินการผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. และผู้ให้บริการ e-Money ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
“ถือเป็นโครงการที่สนับสนุนภาคการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มเติมช่องทางการใช้จ่ายเงินให้กับนักท่องเที่ยวให้สะดวกขึ้น เบื้องต้นกำหนดค่าใช้จ่ายไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน ต่อครั้งไม่เกิน 100,000 บาท และไม่ผูกกับบัตรเครดิต เชื่อว่าเมื่อประกาศใช้แล้วจะบรรลุวัตถุประสงค์เป็นประโยชน์กับผู้ใช้งานและช่วยทำให้ภาคการท่องเที่ยวเติบโต”
โดยคาดว่าหากนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยปีละประมาณ 35 ล้านคน มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5,000 บาทต่อคนต่อหัว และหากโครงการนี้ทำให้การใช้จ่ายสะดวกขึ้น ก็จะทำให้เกิดแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% ซึ่งจะก่อให้เกิดเม็ดเงินสะพัดเพิ่มขึ้นประมาณ 1.75 แสนล้านบาท
“ถือเป็นรูปแบบแรกของโลก ที่ไม่ใช้คริปโตเคอร์เรนซี โดยตรงเป็นสื่อกลางชำระเงิน แต่เป็นการแลกเป็นเงินบาท แล้วนำไปใช้ผ่าน e-Money อีกทั้งยังเอื้อต่อร้านค้ารายย่อย เพราะสามารถชำระได้เหมือนการซื้อขายปกติ ต่างจากที่ต่างประเทศใช้คริปโตผูกกับบัตรเครดิตและใช้จ่ายเฉพาะในร้านค้าขนาดใหญ่ แต่โครงการนี้จะเข้าถึงร้านค้าทั่วไป สตรีตฟู้ด และร้านขายของชำ”
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า โครงการนี้เป็น Sandbox ระยะเวลา 18 เดือน ซึ่งหากระบบไม่มีปัญหา กระทรวงการคลังก็จะขยายวงเงินการแลกคริปโตเป็นเงินบาทให้มากกว่า 5.5 แสนบาทต่อเดือน เพื่อให้สามารถนำเงินคริปโตไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือสินทรัพย์ที่มีราคาแพง เช่น เรือยอชต์ เป็นต้น ได้เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ
“การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยว จะช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาใช้จ่ายในไทยมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการวางรากฐานให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ”
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า โครงการนี้จะดำเนินการภายใต้กระบวนการป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยกำหนดให้มีการทำความรู้จักตัวตนของผู้ใช้บริการ (KYC/CDD) ตามเกณฑ์ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยและความโปร่งใสแก่ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ให้บริการ e-Money
“จะไม่สามารถใช้สินทรัพย์ดิจิทัลชำระค่าสินค้าหรือบริการกับร้านค้าได้ โดยจำกัดวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินแก่ร้านค้ารายย่อย และไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินแก่ร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Merchant (KYM) ส่วนค่าธรรมเนียมการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาท เป็นไปตามที่ผู้ประกอบสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้โครงการ Sandbox กำหนด โดยสามารถแลกเงินบาทกลับเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ในวงเงินไม่เกินมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลที่แลกขาเข้า”
ปัจจุบัน ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และได้เปิดให้ผู้ประกอบธุรกิจเข้ามาหารือเพื่อเตรียมความพร้อม (Preconsultation) ตั้งแต่ต้นเดือน ส.ค. 2568 โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2568
“เมื่อโครงการสิ้นสุดลง ก.ล.ต.จะมีการประเมินประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาและต่อยอดโครงการให้ตอบโจทย์การใช้งานและความต้องการของผู้ใช้บริการต่อไป”
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ชี้ว่า โครงการนี้คงเป็นเซนติเมนต์เชิงบวกกับกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภาพใหญ่ ในแง่ที่จะมีรายได้เข้าประเทศมากขึ้น แต่ขณะนี้ยังประเมินได้ยากว่า จะส่งผลดีกับหุ้นตัวไหนบ้าง เนื่องจากยังต้องติดตามดูว่า ผู้ประกอบการท่องเที่ยว หรือโรงแรมจะเข้าไปร่วมในโครงการกันมากน้อยแค่ไหนด้วย
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : นำร่อง ‘คริปโต’ ชำระสินค้า ดึงต่างชาติใช้จ่าย 1.75 แสนล้าน
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net