จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ? เมื่อคนไทยทุกคนต้องยื่นภาษีภายใต้ Negative Income Tax
คำว่า Negative Income Tax หรือ ภาษีเงินได้ติดลบ ได้กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมไทยเพียงชั่วข้ามคืน หลังจากการเปิดเผยแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงการคลังที่ตั้งเป้าจะนำระบบนี้มาใช้จริงภายในปี 2570 แนวคิดที่อาจพลิกโฉมระบบสวัสดิการและโครงสร้างภาษีของประเทศครั้งใหญ่นี้คืออะไร ? และเมื่อวันที่คนไทยทุกคนต้องเข้าสู่ระบบภาษีมาถึง…อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง?
บทความนี้จะพาไปสำรวจทุกมิติของ Negative Income Tax (NIT) ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน วิธีการคำนวณ ผลกระทบต่อคนแต่ละกลุ่ม ไปจนถึงภาพรวมของประเทศไทยในวันที่นโยบายนี้ถูกบังคับใช้
Negative Income Tax คืออะไร ?
ลองจินตนาการถึงระบบภาษีที่กลับด้าน จากเดิมที่รัฐเป็นฝ่ายเก็บ จากผู้มีรายได้สูง มาสู่การที่รัฐให้กับผู้มีรายได้น้อย นั่นคือแนวคิดหลักของ Negative Income Tax
แนวคิดนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1960 โดยนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล มิลตัน ฟรีดแมน (Milton Friedman) ที่มองว่าวิธีแก้ปัญหาความยากจนที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพที่สุด คือการให้เงินสดกับคนจนโดยตรง เพื่อลดความซ้ำซ้อนของระบบสวัสดิการที่ไม่ตรงเป้าหมาย
หลักการทำงานของ NIT ในบริบทของไทยที่จะเกิดขึ้น มีเงื่อนไขสำคัญเพียงข้อเดียวคือ ประชาชนทุกคนที่มีรายได้ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี
- ถ้ารายได้สุทธิสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด จะต้องจ่ายภาษีตามปกติเหมือนทุกวันนี้
- ถ้ารายได้สุทธิต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ไม่เพียงแต่ไม่ต้องเสียภาษี แต่รัฐบาลจะโอนเงินช่วยเหลือเข้าบัญชีให้คุณแทน เสมือนว่าคุณจ่ายภาษีติดลบ
เป้าหมายหลักของกระทรวงการคลังคือการปฏิรูประบบสวัสดิการที่กระจัดกระจายกว่า 20 โครงการให้รวมเป็นหนึ่งเดียว สร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) เพื่อให้รัฐมองเห็นรายได้ของประชาชนทุกคน และสามารถจัดสรรความช่วยเหลือได้อย่างแม่นยำและตรงจุดขึ้น
วิธีคำนวณ NIT: ใครได้เท่าไหร่ เพื่อให้ก้าวผ่านความยากจน ?
แม้โมเดลสุดท้ายยังต้องรอการกำหนดที่ชัดเจน แต่โดยหลักการสากลแล้ว NIT จะมีองค์ประกอบสำคัญคือ เกณฑ์รายได้ขั้นต่ำ และ อัตราเงินโอน ซึ่งมักจะแบ่งเป็นช่วง ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจ
จากข้อมูลการศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)* ได้มีการเสนอโมเดลตัวอย่างสำหรับประเทศไทยไว้ดังนี้
- เกณฑ์รายได้ขั้นต่ำ (เส้นความยากจน): 30,000 บาท/ปี
- เพดานรายได้สูงสุดที่จะได้รับความช่วยเหลือ: 80,000 บาท/ปี
*อ้างอิงจาก “เศรษฐกิจการคลังไทย: ความท้าทาย การปฏิรูป และความยั่งยืน” ปี 2557
กลไกอัตราเงินโอนจาก NIT
Negative Income Tax แบ่งรูปแบบการจ่ายเงินช่วยเหลือออกเป็น 2 ช่วง แบ่งจากเกณฑ์รายได้
ช่วงสร้างแรงจูงใจ (Phase-in)
สำหรับผู้มีรายได้ 0 – 30,000 บาท/ปี
อัตราเงินโอน 20%
หมายความว่า ทุก ๆ 1 บาทที่คุณหามาได้ รัฐจะสมทบให้อีก 0.20 บาท
ช่วงลดหลั่น (Phase-out)
สำหรับผู้มีรายได้ 30,001 – 80,000 บาท/ปี
อัตราการลดเงินโอน: 12%
หมายความว่า เงินช่วยเหลือจะค่อย ๆ ลดลง จนเป็นศูนย์เมื่อคุณมีรายได้ถึง 80,000 บาท
มาลองดูตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น
เคส 1: คุณ ก. เกษตรกร มีรายได้ 20,000 บาท/ปี
- รายได้ของเขาอยู่ในช่วง Phase-in
- เขาจะได้รับเงินโอน: 20,000 x 20% = 4,000 บาท
- รายได้รวมสุทธิของคุณ ก. = 20,000 + 4,000 = 24,000 บาท
เคส 2: คุณ ข. พนักงานพาร์ตไทม์ มีรายได้ 50,000 บาท/ปี
- รายได้ของเธออยู่ในช่วง Phase-out
- เงินโอนสูงสุดที่เส้น 30,000 บาท คือ 6,000 บาท
- รายได้ส่วนที่เกินมา: 50,000 – 30,000 = 20,000 บาท
- เงินโอนจะถูกลดลง: 20,000 x 12% = 2,400 บาท
- เธอจะได้รับเงินโอน: 6,000 – 2,400 = 3,600 บาท
- รายได้รวมสุทธิของคุณ ข. = 50,000 + 3,600 = 53,600 บาท
เคส 3: คุณ ค. พนักงานออฟฟิศ มีรายได้ 180,000 บาท/ปี (เงินได้สุทธิหลังหักลดหย่อน 160,000 บาท)
- รายได้ของเขาสูงกว่าเกณฑ์ 80,000 บาท เขาจึงไม่ได้รับเงินโอน
- เนื่องจากเงินได้สุทธิเกิน 150,000 บาท เขาจะต้อง เสียภาษี ตามอัตราปกติ
จะเห็นว่าระบบนี้ไม่ได้ให้เงินฟรี ๆ ยิ่งคุณทำงานหารายได้ (ในช่วงแรก) รัฐก็ยิ่งช่วยสมทบ เพื่อเป็นบันไดให้คุณก้าวพ้นเส้นความยากจน
เมื่อการ “หนีภาษี” มาถึงทางตัน ถ้าคนต้องจ่าย รัฐก็ต้องเปลี่ยน
การบังคับให้ทุกคนยื่นภาษี คือการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ จากข้อมูลปี 2565 จากสภาพัฒน์พบว่า แรงงานในระบบมีจำนวน 19 ล้านคน แต่ยื่นภาษีเพียง 10.7 ล้านคน และเสียภาษีจริงแค่ 4.2 ล้านคน นั่นหมายความว่า NIT จะดึงคนอีกหลายสิบล้านคนเข้าสู่ระบบเป็นครั้งแรก แต่ปัญหาคือคนไทยมีความเข้าใจผิดและอคติเกี่ยวกับการจ่ายภาษี
การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบภาษีเพื่อลดความตื่นตระหนกและอคติจึงเป็นก้าวที่สำคัญอย่างมากของภาครัฐ เพื่อฉายภาพให้เห็นว่าการเสียภาษีจะนำไปสู่ประโยชน์ที่จับต้องได้ และรัฐต้องทำให้เกิดขึ้นจริงด้วย
ในบทสนทนาของเด็กจบใหม่จำนวนไม่น้อยเมื่อเข้าสู่ระบบการทำงานและระบบภาษีมักมีคำพูดที่ว่าไม่เห็นรู้เลยว่าต้องจ่ายภาษี หรือโรงเรียนไม่ได้สอนเรื่องเหล่านี้เลย จึงทำให้พวกเขารู้สึกว่าการเสียภาษีเป็นเรื่องยุ่งยากแม้รายได้สุทธิจะไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษีก็ตาม การทำให้การเสียภาษีเป็นเรื่องธรรมดาจึงเป็นความท้าทายของระบบการศึกษา
นอกจากการเปลี่ยนมายด์เซตและมุมมองของประชาชนที่มีต่อภาษีแล้ว การบังคับใช้กฎหมายสำหรับผู้ที่ไม่จ่ายภาษีอย่างเคร่งครัดก็จำเป็นด้วยเช่นเดียวกัน การไม่เข้าร่วมระบบจะส่งผลเสียร้ายแรงกว่าแค่การจ่ายค่าปรับตามกฎหมายสรรพากร เพราะรัฐสามารถกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ เช่น
- ตัดสิทธิ์จากสวัสดิการ: หากข้อมูลของคุณไม่อยู่ในระบบภาษี คุณอาจถูกตัดสิทธิ์การเข้าถึงสวัสดิการของรัฐบางอย่างหรือทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหลักประกันสุขภาพ, เงินกู้เพื่อการศึกษา หรือความช่วยเหลืออื่น ๆ
- ค่าปรับและโทษทางอาญา: สำหรับการจงใจแจ้งข้อมูลเท็จเพื่อรับเงินโอน อาจมีบทลงโทษที่รุนแรงทั้งจำและปรับ
- การตรวจสอบย้อนหลัง: เมื่อมีฐานข้อมูลที่ครอบคลุม การตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินเพื่อหาผู้ที่อยู่นอกระบบจะทำได้ง่ายขึ้นมาก
ข้อดี-ข้อเสีย NIT
มาดูภาพรวมข้อดี-ข้อเสียของ Negative Income Tax กัน
ข้อดี
- สวัสดิการตรงเป้า แก้ปัญหาคนจนไม่จริง ที่ได้รับความช่วยเหลือได้อย่างเด็ดขาด เงินทุกบาทจะถูกส่งตรงถึงคนที่ต้องการจริง ๆ
- ลดความซ้ำซ้อนและประหยัดงบประมาณ ยุบรวมโครงการสวัสดิการที่ไร้ประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการมหาศาล
- สร้างแรงจูงใจในการทำงาน แตกต่างจากนโยบายประชานิยมที่ให้เปล่า NIT สนับสนุนให้คนทำงานเพื่อยกระดับชีวิตตนเอง
- ขยายฐานภาษีอัตโนมัติ รัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากกลุ่มคนที่ไม่เคยเสียภาษีมาก่อน โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราภาษี
- กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เงินที่โอนให้ผู้มีรายได้น้อยจะถูกนำไปใช้จ่ายทันที ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
ข้อเสีย
- แรงต้านมหาศาล กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูงที่อยู่นอกระบบจะเสียประโยชน์และต่อต้านนโยบายนี้อย่างแน่นอน
- ความยุ่งยากในการพิสูจน์รายได้ การตรวจสอบรายได้ของแรงงานนอกระบบ เช่น พ่อค้าแม่ค้า เกษตรกร หรือฟรีแลนซ์ เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเสี่ยงต่อการทุจริต ซึ่งต้องอาศัยศีลธรรมในตัวบุคคล และการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพของหน่วยงาน
- การสื่อสารที่ต้องชัดเจน รัฐต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจว่า “การยื่นแบบ ไม่เท่ากับ ต้องเสียภาษี” เพื่อลดความตื่นตระหนก
สรุปผลกระทบ NIT ใครได้ ใครเสีย ?
กลุ่มผู้ได้ประโยชน์สูงสุดจาก Negative Income Tax จะเป็นกลุ่มคนจนและผู้มีรายได้น้อยที่ทำงาน ซึ่งจะได้รับเงินช่วยเหลือโดยตรง ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและหลุดพ้นจากความยากจนได้เร็วขึ้น และถัดมาจะเป็นผู้ที่ตกหล่นจากสวัสดิการเดิม ที่เข้าไม่ถึงความช่วยเหลือของรัฐ
กลุ่มผู้เสียประโยชน์จะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้พอสมควรแต่ไม่เคยยื่นภาษี จะถูกบังคับเข้าสู่ระบบ และอาจต้องเริ่มจ่ายภาษีเป็นครั้งแรกในชีวิต ส่วนผู้ที่เสียภาษีเป็นประจำอยู่แล้ว กระบวนการส่วนใหญ่จะเหมือนเดิม แต่อาจมีการตรวจสอบที่เข้มข้นขึ้น
ความท้าทายของ Negative Income Tax อาจไม่ใช่เรื่องของตัวเงินหรือเทคโนโลยี’ แต่อยู่ที่ความไว้วางใจระหว่างรัฐและประชาชน รัฐจะเชื่อมั่นในข้อมูลที่ประชาชนยื่น และประชาชนจะเชื่อมั่นได้หรือไม่ว่าระบบนี้จะถูกใช้อย่างเป็นธรรม ซึ่งเป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่สุดที่สังคมไทยต้องตอบ
เพื่อทำให้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการปฏิรูประบบเศรษฐกิจและสังคมของไทยอย่างถึงรากถึงโคน จาก “รัฐสงเคราะห์” ที่ให้แบบสะเปะสะปะ ไปสู่ “รัฐสวัสดิการ” อย่างแท้จริง