"ดีเอสไอ" ลงพื้นที่พิสูจน์ถือครอบครอง "เขากระโดง" 5,083 ไร่ 19-22 ส.ค.นี้
MGR Online - "ดีเอสไอ" ประสานหน่วยงานในพื้นที่เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ตรวจสอบเอกสารสิทธิครอบครอง 19-22 ส.ค.นี้ ก่อนเสนออธิบดีฯ รับเป็นคดีพิเศษ
วันนี้ (17 ส.ค.) แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้าคดีสืบสวนที่ 97/2568 การครอบครองและการออกเอกสารสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ว่า สำหรับการสืบสวนของดีเอสไอเรื่องที่ดินบริเวณเขากระโดง ซึ่งเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด 5,083 ไร่ ล่าสุดดีเอสไอได้รับข้อมูลจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มาเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะแผนที่เดิมทั้งหมดที่มีอยู่แล้ว อย่างแผนที่ของการรถไฟ พ.ศ. 2465 (แผนที่แนบท้าย พ.ร.ฎ.) ด้วยอัตราส่วน 1:4000 จากนั้นทางส่วนแผนที่และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะจัดทำแผนที่จำลองภาพถ่ายดาวเทียมในอัตราส่วนขนาดเดียวกันขึ้นมา เรียกเต็มๆ ว่า “แผนที่การจัดซื้อที่ดินประกอบพระราชกฤษฎีกามาซ้อนทับกับภูมิประเทศในปัจจุบัน” เพื่อใช้เทียบมาตราส่วนกับแผนที่ปัจจุบันซึ่งศาลปกครองได้มีการเสนอไปแล้ว และโฉนดที่กรมที่ดินออกให้ อาทิ โฉนดที่ดิน นส.3 หรือแม้กระทั่งบางพื้นที่ที่ยังไม่มีเอกสารหรือการครอบครอง
"ทั้งนี้ จะได้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างแท้จริง และจะเห็นว่าขอบเขตของพื้นที่ของการรถไฟฯ เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อจะใช้ลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ในวันที่ 19-22 ส.ค.นี้ ในการเข้าพบเจ้าหน้าที่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ของการรถไฟฯ เพื่อขอข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ และสำนักงานจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น นอกจากนี้ กรณีว่าคนกลุ่มใดเป็นผู้ถือ ครอบครองพื้นที่ของการรถไฟฯ มากที่สุด หรือในสัดส่วนอย่างไรนั้น ก็จะต้องตรวจสอบกับสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งจะมีข้อมูลในสารบบที่ดิน จำนวน 995 แปลง และรวมไปถึงประเด็น 12 หน่วยงานราชการที่มีที่ตั้งในพื้นที่พิพาทดังกล่าวด้วย จากนั้นภายในช่วงสิ้นเดือน ส.ค. เตรียมประมวลเรื่องเสนออธิบดีฯ รับเป็นคดีพิเศษ"
แหล่งข่าวดีเอสไอ เผยอีกว่า ก่อนที่คณะพนักงานสืบสวนจะลงพื้นที่เข้าพบเจ้าหน้าที่ส่วนราชการหน่วยงานเกี่ยวข้องใน จ.บุรีรัมย์ พนักงานสืบสวนจะต้องประสานให้เจ้าหน้าที่การรถไฟฯ เดินทางเข้าให้ข้อมูลในฐานะพยานเพื่อประกอบการสืบสวนสอบสวน เพื่อจะได้สอบถามถึงประเด็นสำคัญต่างๆ จากนั้นจึงจะนำข้อมูลที่ได้รับการอธิบายจากการรถไฟฯ ไปใช้หารือกับหน่วยงานส่วนราชการใน จ.บุรีรัมย์ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานเพิ่มเติมว่า ในการชี้แจงของฝ่ายกฎหมายทางนายเนวิน ชิดชอบ ในห้วงที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า ศาลฎีกาได้มีการระบุว่าพื้นที่ทั้งหมดเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แต่สิ่งที่จะชัดเจนที่สุด คือ คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ซึ่งได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดแล้วว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐ และเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นที่ดินของการรถไฟที่มีไว้ใช้เพื่อราชการตาม พ.ร.บ.จัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ. 2464 โดยเฉพาะช่วงท้ายของคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ที่ระบุว่า “เนื่องจากที่ดินทั้งหมดเป็นที่ดินของรัฐ ไม่ได้ผูกพันเฉพาะคู่ความตามมาตรา 145 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.พ.)“ กล่าวคือ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่เกี่ยวกับที่ดินของรัฐนั้น ไม่ได้จำกัดเฉพาะคู่ความในคดีนั้น แต่สามารถมีผลบังคับใช้ในวงกว้างกับบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องหรือมีผลผูกพันกับที่ดินนั้นได้ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายกฎหมายไม่ได้มีการกล่าวถึงแต่อย่างใด ขณะที่เรื่องแผนที่ของการรถไฟ โดยเฉพาะเรื่องมาตราส่วน 1:4000 ก็มีความถูกต้องแล้ว เพราะแผนที่ท้ายประกาศของแผนที่การรถไฟ พ.ศ. 2465 ระบุเป็นมาตราส่วน 1:4000 แต่ที่ทนายความยกมากล่าวก็คือการเอาระวางกรมที่ดินมา ซึ่งก็เป็นอัตราส่วน 1:4000 แต่เหมือนจะเป็นการกล่าวว่า แผนที่ที่การรถไฟเอามานั้น มาตราส่วนมันผิด ซึ่งก็ต้องยืนยันว่ามันไม่ผิด เนื่องจากหลักการทำแผนที่มันจะมีการย่อมาตราส่วน นอกจากนี้ ในข้อเท็จจริงเมื่อปี 2567 กรมที่ดินและการรถไฟฯ ได้มีการรังวัดร่วมกันโดยใช้ GPS ซึ่งส่วนนี้สำคัญที่สุดที่จะใช้ยืนยันแนวเขตการรถไฟได้
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO