ทำไมเลือกไทย? 'Marshall Livehouse' แห่งแรกของโลกใจกลางเจริญกรุง

เสียงแตกพร่าอันเป็นเอกลักษณ์ที่คอเพลงร็อกรู้จักดี เสียงที่เคยดังกึกก้องอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตระดับโลกและในห้องอัดของศิลปินระดับตำนาน กำลังหยั่งรากลึกลงในใจกลางย่านสร้างสรรค์อย่างเจริญกรุง กรุงเทพมหานคร กับการมาถึงของ Marshall Livehouse แห่งแรกของโลก การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ของแบรนด์แอมพลิฟายเออร์สัญชาติอังกฤษที่มีอายุยาวนานกว่า 60 ปีนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นบทพิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพและพลังทางดนตรีที่ซ่อนอยู่ในเมืองไทย

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ ท่ามกลางมหานครทั่วโลก ทำไมต้องเป็นกรุงเทพฯ? และเหตุใดจึงเลือกปักหมุดในวันที่สภาพเศรษฐกิจอาจดูไม่สดใสนัก KT Review กรุงเทพธุรกิจไอที ได้สัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงของ Marshall Group และต่อจากนี้คือคำตอบที่ลึกซึ้งและน่าสนใจกว่าแค่เรื่องของตัวเลขและผลกำไร

จากโรงรถในลอนดอนสู่ DNA ของชาวร็อก

ก่อนจะเข้าใจการเดินหมากครั้งสำคัญนี้ เราต้องย้อนกลับไปที่จุดกำเนิดของตำนาน Marshall ที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1962 โดย จิม และ เทอร์รี่ มาร์แชล พวกเขาได้สร้างสรรค์แอมพลิฟายเออร์กีตาร์ตัวแรกของโลกที่ให้เสียงอันทรงพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการรับฟังความต้องการของนักดนตรีอย่างแท้จริง จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ นั้นเอง Marshall ได้เข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์ของวงการดนตรีไปตลอดกาล สร้างซาวด์ที่กลายเป็นไอคอนิก และยกระดับดนตรีให้มีความพรีเมียมยิ่งขึ้น

ดีเอ็นเอความเป็นร็อกแอนด์โรลนี้ยังคงฝังแน่นอยู่ในวิสัยทัศน์ของแบรนด์มาตลอด 60 ปี ด้วยเป้าหมายที่อยากจะเป็นแบรนด์ที่เป็นที่รักและมีคนเล่นมากที่สุดในโลก จากข้อมูลในปี 2024 Marshall Group มียอดขายทั่วโลกสูงถึง 400 ล้านยูโร พร้อมอัตรากำไรที่ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จได้อย่างดี

ทีมผู้บริหาร Marshall Group : Nick Street, Martin Axhamre และ Jeremy de Maillard

เพลงบทใหม่ที่ชื่อว่า "กรุงเทพมหานคร"

การเลือกกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งของ Marshall Livehouse ไม่ใช่การสุ่มเลือก แต่เป็นการตัดสินใจที่วางอยู่บนข้อมูลและวิสัยทัศน์ที่เฉียบคม เพราะนอกจากตัวเลขที่บ่งชี้ถึงความสำเร็จ มีข้อมูลที่ระบุว่าตลาดที่ขับเคลื่อนการเติบโตมากที่สุดก็คือเอเชีย

Jeremy de Maillard ซีอีโอของ Marshall Group ยืนยันถึงเรื่องนี้ว่า "ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือตลาดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และเติบโตเร็วที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ได้กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ Marshall มาตั้งแต่ปี 2023 และกรุงเทพฯ ก็คือ "จุดยุทธศาสตร์สำคัญ" ในแผนที่ของพวกเขา

"ประเทศไทยมีพลังงาน มีความสดใส มีสีสันอยู่เสมอ และที่สำคัญคือมีผู้คนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของดนตรี ประกอบกับการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง ASH Group ที่ร่วมเติบโตกันมานานกว่า 10 ปี ทำให้ความเชื่อมั่นนั้นยิ่งชัดเจนขึ้น จนนำมาสู่การยกระดับความร่วมมือครั้งสำคัญในการสร้าง Marshall Livehouse แห่งนี้" เจเรมีกล่าว

Jeremy de Maillard

สวนกระแสเศรษฐกิจด้วยการลงทุนใน "คุณค่า"

ท่ามกลางความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว Marshall กลับมองเห็นโอกาสและเลือกที่จะ "ลงทุนให้มากขึ้น" เจเรมีอธิบายปรัชญาที่สวนกระแสไว้อย่างน่าสนใจว่า ในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องรัดเข็มขัด พวกเขายิ่งโหยหาสิ่งที่มีความหมายต่อจิตใจ

"ผู้บริโภคอาจจะพยายามรัดเข็มขัด ไม่ใช้จ่ายกับสิ่งที่ยังไม่มีความหมายเท่าไหร่ แต่ยอมเก็บออมเพื่อที่จะซื้อสิ่งที่ดีต่อใจ…ซึ่งสิ่งเหล่านี้เนี่ยมันจะก้าวข้ามความเป็นฟังก์ชันของผลิตภัณฑ์นั้นๆ"

ปรัชญานี้สะท้อนให้เห็นในการตัดสินใจลงทุนสวนกระแส ดังที่เขาเน้นย้ำว่า "ยิ่งสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในช่วงที่ต้องรัดตัวมากๆ ระมัดระวังมากๆ บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนมากยิ่งขึ้น เพราะว่าบริษัทไม่ได้มีเพื่อที่จะขายของอย่างเดียว เราต้องการสิ่งที่มีความลึกซึ้งมาก" ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของแบรนด์ ดังที่ผู้บริหารอีกท่านอย่าง Martin Axhamre ซีเอฟโอของ Marshall Group กล่าวเสริมว่า "ทางมาร์แชลมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ดังนั้นเวลาที่ทำอะไรก็แล้วแต่ เขาจะมองเป็นลองเทอม เป็นระยะยาวในอนาคต"

Martin Axhamre

ไม่ใช่แค่โชว์รูม แต่คือบ้านของคนดนตรี

ทีมผู้บริหารเน้นย้ำว่าหัวใจของ Marshall Livehouse คือการเป็นพื้นที่สำหรับ "ชุมชน" อย่างแท้จริง "ที่นี่จะไม่ใช่เป็นแค่พื้นที่ที่เต็มไปด้วยโลโก้ของมาร์แชล แต่เราออกแบบพื้นที่แห่งนี้มาเพื่อชุมชนโดยเฉพาะเลย"

ที่นี่คือ Live Stage ที่เปิดโอกาสให้วงดนตรีทุกระดับได้มาสัมผัสประสบการณ์การเล่นด้วยเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เป็นระดับมืออาชีพที่ดีที่สุด และชั้นบนคือ ห้องซ้อม ที่เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ที่ดีที่สุด แต่ในราคาที่เข้าถึงได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมี Community Space ที่เปิดกว้างให้คนในชุมชนมาจัดนิทรรศการหรืองานโชว์เคสของตัวเองได้

นิยามความสำเร็จที่ไม่ได้วัดด้วยตัวเลข

เมื่อถามถึงการวัดผลความสำเร็จของการลงทุนครั้งใหญ่นี้ คำตอบที่ได้กลับไม่ใช่ตัวชี้วัดทางการเงิน แต่เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และลึกซึ้งกว่านั้น เป้าหมายสูงสุดของการลงทุนครั้งนี้ถูกสรุปไว้อย่างชัดเจนโดย Nick Street ซีเอ็มโอของ Marshall Group เปิดเผยว่าคือการสร้างวัฒนธรรมทางดนตรีที่แข็งแกร่ง

"สิ่งที่เราอยากจะทำก็คือสนับสนุนทาเลนต์ หรือว่านักดนตรีผู้ที่หลงใหลในดนตรีรุ่นใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ และขณะเดียวกันก็อยากจะสนับสนุนผู้ที่หลงใหลในดนตรีด้วยเช่นกัน"

ความสำเร็จในมุมมองของ Marshall จึงเป็นการได้เห็น Livehouse แห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางที่หล่อหลอมศิลปินหน้าใหม่ เป็นพื้นที่ให้คนที่มีความฝันได้มาเจอกัน และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนวงการดนตรีไทยให้ก้าวไปข้างหน้า ผลตอบแทนคือความแข็งแกร่งของแบรนด์ในใจของผู้คน ซึ่งเป็นสิ่งที่ซ้อด้วยเงินไม่ได้

Nick Street

สงครามสินค้าปลอม คำชมที่ต้องจัดการ

ความสำเร็จย่อมมาพร้อมกับความท้าทาย ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์และสินค้าปลอมแปลงเป็นสิ่งที่ Marshall ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ในมุมหนึ่งซีอีโอมาร์แชลมองอย่างติดตลกว่ามันคือคำชมว่า "การมีสินค้าปลอมก็เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่าสินค้านั้นประสบความสำเร็จ" แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจัง

โดยเขาเปิดเผยว่าได้ร่วมมือกับตำรวจเศรษฐกิจ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อ "ทำความสะอาดตลาด" และปกป้องผู้บริโภคให้ได้ใช้ของแท้ที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน

การมาถึงของ Marshall Livehouse จึงเป็นมากกว่าการเปิดแฟล็กชิปสโตร์แห่งใหม่ แต่คือการประกาศก้องว่า Marshall พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจทางดนตรีในประเทศไทย คือการลงทุนในความฝันของนักดนตรี และคือการตอกย้ำความเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร เสียงดนตรีที่แท้จริงจะยังคงดังกังวานและทรงพลังเสมอ ณ ใจกลางเจริญกรุงแห่งนี้