คลังจ่อเปิดตัว “TouristDigiPay” หนุนต่างชาตินำคริปโตเที่ยวไทย
สถานการณ์ต่างชาติเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย ในปี 2568 ค่อนข้างชะลอตัว เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ซึ่งรัฐบาลได้ออกโครงการต่างๆ มาเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และล่าสุด กระทรวงการคลัง ได้เตรียมแถลงข่าว เปิดตัวโครงการ “TouristDigiPay” ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทและนำไปใช้จ่าย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
สำหรับโครงการ “TouristDigiPay” นั้น จะมีการแถลงรายละเอียด ในวันที่ 18 ส.ค.68 โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน อีกทั้งยังมี ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการ ก.ล.ต. เลขาธิการ ปปง. และผู้ช่วยปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมแถลงข่าว
อย่างไรก็ตาม โครงการดึงต่างชาติเที่ยวไทย โดยให้นำคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) แลกเป็นสกุลเงินบาท แล้วนำมาใช้จ่ายนั้น เป็นแนวคิดที่รัฐบาลศึกษามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็นในเรื่องการนำนวัตกรรมทางการเงินและสินทรัพย์ดิจิทัลมาสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศไทย และปิดรับฟังความคิดเห็นไปเมื่อวันที่ 13 ส.ค.68 ที่ผ่านมา
เบื้องต้น ก.ล.ต. กำหนดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินบาทและนำไปชำระเงินค่าสินค้าและบริการกับร้านค้า ต้องเปิดบัญชีและดำเนินการผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.
และผู้ประกอบธุรกิจ e-money ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายใต้ Sandbox ซึ่งมีการควบคุมดูแลและป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องผ่านหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม โดยไม่มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้ชำระเงินค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment) กับร้านค้า
สำหรับผู้ที่ประสงค์จะเข้าร่วม Sandbox ต้องเป็นผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล และมีความพร้อมในการดำเนินการตามรูปแบบ ขอบเขต และหลักเกณฑ์ของ Sandbox โดยต้องสมัครและได้รับความเห็นชอบให้เข้าร่วม Sandbox จาก ก.ล.ต.
ทั้งนี้ เมื่อได้รับความเห็นชอบแล้วจะมีระยะเวลาในการให้บริการภายใต้ Sandbox ไม่เกิน 18 เดือน โดย ก.ล.ต. อาจพิจารณาขยายกรอบระยะเวลาทดสอบเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการดำเนินการทดสอบได้ ขณะเดียวกัน ผู้เข้าร่วม Sandbox สามารถให้บริการได้เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังประเทศไทยและพำนักอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว
โดยต้องทำความรู้จักตัวตนของผู้ใช้บริการ (KYC/CDD) ตามเกณฑ์ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลตามประเภทใบอนุญาตที่ได้รับ รวมทั้งมีการเชื่อมต่อกับผู้ประกอบธุรกิจ e-money ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาตินำเงินบาทที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลไปซื้อสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การสแกน QR code เป็นต้น
นอกจากนี้ นายณพงศ์ธวัช โพธิกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังได้กล่าวถึงการพัฒนาระบบ ว่า ธปท.ร่วมกับผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ในการพัฒนา Tourist Wallet สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าบริการในไทยผ่านการสแกน QR Code ได้มากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศที่ไม่ได้เชื่อมโยงระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ หรือ Cross Border QR Payment & Remittance
ทั้งนี้ บริการ Tourist Wallet จะเป็นระบบอี-มันนี่ โดยผ่านการแลกเงินสกุลต่างประเทศเป็นสกุลเงินบาท และในอนาคตอาจเชื่อมกับบัตรเดบิต-บัตรเครดิตของต่างชาติได้เลย รวมทั้งจะเชื่อมต่อกับการแปลงสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) มาเป็นเงินบาท เพื่อใช้จ่าย โดยนักท่องเที่ยวสามารถสแกนใช้จ่ายตามร้านค้าในไทยได้ นอกจากนักท่องเที่ยวสะดวกในการใช้งาน ร้านค้ายังมีช่องทางการรับชำระเงินมากขึ้นด้วย
ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการจำกัดความเสี่ยง และถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงินและหลอกลวงภัยทางการเงิน เช่น บัญชีม้า เบื้องต้น จะมีการจำกัดวงเงินการใช้จ่าย โดยร้านค้าที่มีเครื่องรับบัตร (Merchant QR) วงเงินจะอยู่ที่ 5 แสนบาทต่อเดือนต่อบัญชี
ส่วนกรณีร้านค้ารายย่อยทั่วไป วงเงินอยู่ที่ 5 หมื่นบาทต่อเดือนต่อบัญชี โดยห้ามใช้จ่ายในร้านค้าที่มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเป็นช่องทางการฟอกเงินตามหลักเกณฑ์ ปปง. ส่วนการถอนเงินจะทำได้เมื่อมีการปิดบัญชีเท่านั้น และไม่สามารถถอนเงินได้ตามยอดเงินสดที่เติมเงินไว้