คลื่นความร้อนประเทศนอร์ดิกพุ่งสูง โลกร้อนเพิ่มโอกาสกว่า 10 เท่า
อุณหภูมิในบางพื้นที่ของฟินแลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดนเมื่อเดือนที่แล้วทะลุ 30 องศาเซลเซียสต่อเนื่องหลายวัน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติอย่างมากสำหรับยุโรปตอนเหนือ
งานวิจัยล่าสุด ระบุว่า คลื่นความร้อนรุนแรงที่สร้างสถิติอุณหภูมิสูงสุดในกลุ่มประเทศนอร์ดิกเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าเดิมอย่างน้อย 10 เท่าเพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในช่วงสองสัปดาห์กลางเดือนกรกฎาคม อุณหภูมิใน ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดนสูงผิดปกติ โดยฟินแลนด์เผชิญคลื่นความร้อนต่อเนื่อง 22 วัน อุณหภูมิสูงเกิน 30 องศาเซลเซียส ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์
การศึกษาจำแนกเหตุการณ์ฉับพลันโดยกลุ่ม World Weather Attribution พบว่า คลื่นความร้อนดังกล่าว รุนแรงขึ้นกว่า 2 องศาเซลเซียส และมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่า 10 เท่า เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แคลร์ บาร์นส์ นักวิจัยจากศูนย์นโยบายสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจ ลอนดอน และหนึ่งในผู้เขียนรายงาน กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังปรับโฉมโลกที่อาศัยอยู่ ประเทศภูมิอากาศหนาวอย่าง นอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์ กำลังเผชิญกับความร้อนในระดับที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากระบบสาธารณสุขที่ตึงตัว และภาพกวางเรนเดียร์ออกมาหลบแดดในเขตเมือง
ความร้อนจัดอันตรายต่อมนุษย์
เนื่องจากกระทบกระบวนการทางสรีรวิทยาที่ควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นลมแดดและโรคจากความร้อนอื่น ๆ ซึ่งอาจถึงขั้นเสียชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยผู้สูงอายุ รวมถึงผู้หญิงและเด็ก จัดเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุด เนื่องจากร่างกายปรับตัวต่อความร้อนได้ยากขึ้น เหงื่อออกลดลง และมักมีโรคประจำตัวหรือใช้ยาที่ซ้ำเติมปัญหา อีกทั้งการแยกตัวทางสังคม ข้อจำกัดด้านการเคลื่อนไหว และการเข้าถึงแหล่งคลายร้อนที่ไม่เพียงพอ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง
ข้อมูลระหว่างปี 2000–2004 และ 2017–2021 ระบุว่า การเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนในกลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นราว 85%
คลื่นความร้อนถี่ขึ้น
การศึกษาระบุว่า ครั้งล่าสุดที่กลุ่มประเทศนอร์ดิกเผชิญคลื่นความร้อนใกล้เคียงกันคือปี 2018 หลังจากนั้นโลกได้ร้อนขึ้นอีก 0.2 องศาเซลเซียส ส่งผลให้คลื่นความร้อนต่อเนื่องสองสัปดาห์มีโอกาสเกิดขึ้นเกือบสองเท่า
การเผาไหม้ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันเพื่อผลิตไฟฟ้าและความร้อน ยังคงเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวการหลักของภาวะโลกร้อน เนื่องจากกักเก็บความร้อนในบรรยากาศและทำให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกสูงขึ้น
การบริโภคเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากประเทศต่าง ๆ มุ่งยกระดับมาตรฐานการครองชีพและการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยในปี 2024 ก๊าซเรือนกระจกหลัก 3 ชนิด ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไนตรัสออกไซด์ ล้วนทำสถิติสูงสุดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน