เขี้ยวเล็บ ทอ. สนามรบไทย-เขมร การศึกสมัยใหม่ ‘สงครามโดรน’
โดรนไม่ใช่เป็นภัยคุกคามต่อเป้าหมายทางทหาร ที่ทำให้เกิดการแตกหักหรือเกิดการพ่ายแพ้ จึงไม่ต้องห่วงว่าจะมาทำลายได้ง่ายๆ จากโดรน เพราะอาวุธที่บรรทุกไป อำนาจการทำลายยังอาจน้อยกว่า BM-21 ด้วยซ้ำไป แต่ก็ประมาทไม่ได้ แต่ถ้าเขามีเครื่องบินขับไล่ ถ้าไม่ชกก่อนก็อาจแพ้
แม้ปัจจุบันสถานการณ์การสู้รบไทย-กัมพูชาจะคลี่คลายลง แต่ก็ยังคงต้องเฝ้าติดตามเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง และมีอีกหลายบริบทจากเหตุการณ์ดังกล่าวที่ตกค้าง ควรนำมาขยายประเด็น
"ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด" สัมภาษณ์อดีตนายทหารกองทัพอากาศ "พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี หรือเสธ.นิด อดีตนายทหารนักบินกองทัพอากาศ, อดีตนักบินประจำกองกำลังสหประชาชาติ, นักวิชาการและอดีตวิทยากรด้านการทหารและความมั่นคงหลายแห่ง เช่น รร.เสนาธิการทหาร รร.เสนาธิการทหารอากาศ รร.นายเรืออากาศ ศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ศูนย์การรบทางอากาศ" เป็นต้น โดยมีเนื้อหาบางส่วนดังนี้
โดยเมื่อถามถึงบทบาทของ"กองทัพอากาศ" ที่รอบนี้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เพราะกองทัพอากาศส่ง F-16 และกริพเพนโจมตียุทธบริเวณของกัมพูชาหลายครั้ง จนสามารถปฏิบัติการทำลายเป้าหมายได้หลายจุด "พล.อ.ท.วัชระ อดีตนายทหารนักบินกองทัพอากาศ" กล่าวว่า กองทัพอากาศมีการพัฒนามาเป็นยุคๆ อย่างยุคปี 2530 เป็นยุคเครื่องบินขับไล่ ยุคที่ 4 ที่ พล.อ.อ.ประพันธ์ ธูปะเตมีย์ อดีต ผบ.ทอ.ได้ต่อรองด้วยความยากลำบากจนได้ F-16 มาฝูงแรก ที่มีขีดความสามารถในเชิงรุก อันเป็นการพัฒนาของกองทัพอากาศตามเทคโนโลยีของอากาศยานที่มีระบบ AI แล้ว คือหากนักบินทำอะไรผิดจะมีการแจ้งเตือน เป็นคำพูดของผู้หญิง กองทัพอากาศจึงสัมผัสกับ AI มานานแล้วจาก F-16 และมีการพัฒนาต่อมาในยุค 4.5 คือกริพเพน ส่วนยุคที่ 5 จะเป็นเครื่องบินโลดโผน แต่กริพเพนเป็น 4.5 แต่ถือว่าใกล้เคียงแล้ว ระบบ AI พร้อมหมด
กองทัพอากาศมีการพัฒนาระบบเซนทริก (Centric) เป็น Centric Command and Control คือกองทัพอากาศ ธรรมชาติของการรวมการสั่งการ แยกปฏิบัติ เป็นปรัชญาของกองกำลังทางอากาศมาช้านาน กองทัพอากาศจะมีศูนย์สั่งการเรียกว่า ศูนย์ยุทธการทางอากาศ สั่งเครื่องบินให้บินได้ทั่วประเทศในเวลาเดียวกัน ไปเป้าหมายเดียวกัน กองทัพอากาศ สามารถบูรณาการเข้ากับกองทัพบก กองทัพเรือในเรื่องการตรวจจับ การแลกเปลี่ยนข้อมูล
กองทัพอากาศมีหน้าที่สำคัญในการรบร่วม โดยเฉพาะภารกิจที่เกี่ยวข้องกับกองทัพบก คือการบินโจมตีขัดขวางทางอากาศ คือโจมตีจุดรวมพลหรือคลังแสง เช่นจุดที่รวมรถถัง รถบรรทุกทหาร ถ้ารู้ว่าจะมีการเข้าปฏิบัติการ ทหารอากาศก็เข้าไปจัดการ ซึ่งกับกัมพูชาก็โดนไปหลายจุด โดยเมื่อมีการยืนยันเป้าหมายอย่างเป็นทางการมาจากกองทัพบก ยืนยันว่าเป้าหมายใช่แน่นอน โดยทหารอากาศก็ต้องถามยืนยันกับทหารบกว่าจุดดังกล่าวไม่มีพลเรือนใช่แน่นอนไหม เพราะทหารอากาศมองจากที่สูง เพราะทหารบกมีหน่วยลาดตระเวน เขาก็จะยืนยันว่าไม่ใช่หมู่บ้านของประชาชน เป็นหน่วยทหารล้วนๆ ทหารอากาศก็ขึ้นบินไปเลย ขณะเดียวกันทหารอากาศก็ต้องระวังอาวุธต่อต้าน เช่นขีปนาวุธจากพื้นดินสู่อากาศ ก็จะมีเครื่องตรวจจับเรดาร์ว่าจะมีจรวดควันไฟขึ้นมาหรือไม่ กรณีกัมพูชา ทหารอากาศก็มีการจัดการกับศูนย์ปฏิบัติการกำลังทางบกของกองทัพบกกัมพูชา ที่เป็นคลังอาวุธใหญ่
-หากกัมพูชามีอาวุธหนักแบบกริพเพนบ้างจะเป็นอย่างไร?
ถ้าถึงตรงนั้น กองทัพอากาศก็คงเสนอถึงกองบัญชาการทหารสูงสุดเพื่อขออนุมัติโจมตีก่อน เป็นหลักการอยู่แล้ว หากสมมุติว่ากัมพูชามีกองกำลังทางอากาศ จะมากกว่าหรือน้อยกว่าก็ตาม สิ่งแรกทันทีที่เกิดการปะทะ หรือเกิดแนวโน้มที่จะเกิดสงคราม ทหารอากาศต้องถามว่าเอาหรือไม่ ถ้าไม่เอาแพ้ไม่รู้นะ แต่ถ้าเอาจัดการตรงนี้ก่อน มันมีหลักการอยู่แล้ว ทหารอากาศคิดล่วงหน้ามีอยู่แล้ว
-กัมพูชาไม่มี F-16 ไม่มีกริพเพน แต่มีโดรน รอบนี้ดูเหมือนเอาจริง?
โดรนใครๆ ก็ซื้อได้ แต่โดรนก็มีขีดจำกัดในเรื่องของคลื่นวิทยุในการคอนโทรล แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็สามารถจะทำให้โดรนมีพลังสูงขึ้น บินได้สูงขึ้น จับได้ยากขึ้น หรือให้เป็นกามิกาเซ่ ปล่อยครั้งเดียวบังคับได้เลย แต่กองทัพไทยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ก็พยายามทุกวิถีทาง เพราะเราไม่มีงบประมาณ เพราะเครื่องตรวจจับโดรนราคามหาศาล แต่อาวุธที่ปล่อยออกจากโดรน เท่าที่ผมเคยศึกษา โดรนหนึ่งตัวไม่สามารถบรรทุกน้ำหนักระเบิดได้ อย่างดีก็แค่ 50 กิโลฯ ก็ประมาณร้อยปอนด์ โดรนไม่ใช่เป็นภัยคุกคามต่อเป้าหมายทางทหาร ที่ทำให้เกิดการแตกหักหรือเกิดการพ่ายแพ้ คุณสมบัติของกำลังทางอากาศคือต้องเคลื่อนย้ายเร็ว สมมุติเกิดสงคราม กองบินหนึ่งเขาเตรียมเคลื่อนย้ายไปอยู่ตาคลีแล้ว มีการโยกย้ายได้ตลอดเวลา อย่างหากที่อุบลราชธานีมีปัญหา เขาย้ายไปที่ไหนก็ได้ เขาย้ายกองบินได้อย่างรวดเร็วและช่างเครื่องมีความชำนาญ สามารถย้ายได้อย่างรวดเร็วเพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกัน จึงไม่ต้องห่วงว่าจะมาทำลายได้ง่ายๆ จากโดรน เพราะอาวุธที่บรรทุกไปอำนาจการทำลายยังอาจน้อยกว่า BM-21 ด้วยซ้ำไป แต่ก็ประมาทไม่ได้ แต่ถ้าเขามีเครื่องบินขับไล่ ถ้าไม่ชกก่อน อย่างที่ผมบอกก็อาจแพ้
"พล.อ.ท.วัชระ" กล่าวว่า สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ก่อนหน้าการหยุดยิงเป็น "สงครามจำกัดเขตย่อย" เพราะยุทธบริเวณถูกกำหนดไว้แค่เขตแดน โดยวัตถุประสงค์ของกองทัพไทยคือยึดคืนพื้นที่ซึ่งเขมรรุกเข้ามาเท่านั้น โดยการยิงอาวุธเข้ามาของกัมพูชามีลักษณะจงใจ ไม่ใช่การยิงกระจาย มันเป็นไปไม่ได้ เพราะหากดูสมรรถนะของเครื่องยิง BM-21 หรือ BM-21 มีรัศมีความแม่นยำอยู่ ยิงเป็นร้อยๆ นัด จนร้านสะดวกซื้อ โรงพยาบาลพัง
ส่วนมุมวิเคราะห์ว่าเหตุใด ฮุน เซน ถึงมีท่าทีต้องการเปิดฉากสู้รบกับฝ่ายไทยนั้น "พล.อ.ท.วัชระ" แสดงทัศนะโดยเล่าย้อนถึงเส้นทางการเมือง การทหารของฮุน เซน ว่าหลัง พ.ศ. 2512 กัมพูชารบกันเอง แบ่งเป็นสามฝ่ายสี่ฝ่าย แล้วก็รบกับเวียดนาม เดิมเป็นเขมรแดงแล้วแปรพักตร์เพราะมีความใฝ่สูง พวกพอล พต, เขียว สัมพัน รู้ไต๋ว่าฮุน เซน มาแปลก ไม่น่าจะใช่พวกเดียวกันได้ ก็เลยลดอำนาจฮุน เซนลง เขาก็เลยไปอยู่กับพวกเวียดนาม พวกเฮง สัมริน เป็นตัวตนของฮุน เซน คือเป็นทหารการเมืองในพรรคคอมมิวนิสต์ของกัมพูชาในยุคนั้น
ฮุน เซน ก็มีความรอบรู้เรื่องการรบ แต่เป็นการรบแบบกองโจร แบบเขมรแดง ก็ไม่ธรรมดา และช่วงเวียดนามปกครองกัมพูชา ตัวฮุน เซน ก็เป็น รมว.ต่างประเทศ แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ธรรมดา ก็แกว่งไปแกว่งมาเพื่อความอยู่รอดของตัวเองและกัมพูชา ก็แสวงหาอำนาจต่างๆ มาจนปี 2532 ประเทศไทยก็มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล จากรัฐบาลพลเอกเปรมเป็นรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ที่มีนโยบายเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า ที่ถือว่าไทยมีบุญคุณกับเขมรพอสมควร โดยเฉพาะกับฮุน เซน ที่พูดง่ายๆ ว่าถูกรัฐบาลไทยเลี้ยงในยุคสมัยนั้น เพื่อให้มีอำนาจแล้วก็มาเลือกตั้ง ซึ่งต่อมาในการเลือกตั้งพรรคฟุนซินเปก แต่ฮุน เซน ไม่ยอม จนบอกให้แบ่งประเทศเป็นสองส่วน ก็เลยต้องยอมกัน รัฐบาลไทยและต่างชาติมหาอำนาจก็ไม่อยากให้มันรบกันอีก เพราะหากแบ่งเป็นสองประเทศต้องรบกันแบบเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ ก็เลยเป็นประเทศที่มีนายกฯ สองคน แล้วต่อมาก็มีการรัฐประหาร แล้วสร้างอาณาจักร ที่ทำให้ร่ำรวยขึ้นได้ก็เช่นบ่อน ค้าอาวุธเถื่อน เพราะอาวุธมีเยอะเพราะเคยมีการรบกัน ยึดมาได้ก็เก็บไว้แล้วเอามาขาย เป็นตลาดมืดของอาวุธกระจายไปทั่วโลก
…ไทยกับกัมพูชาเริ่มมีปัญหากันตั้งแต่ปี 2540 เพราะตอนนั้นมีการเจรจาเรื่องพื้นที่ เพราะคำตัดสินของศาลโลก (คดีเขาพระวิหาร) มันไม่ชัดเจน ใช้คำศัพท์ภูมิศาสตร์อะไรต่างๆ มันไม่ชัด โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้ๆ กับตัวปราสาท พอปี 2543 รัฐบาลชวน หลีกภัย มีการเจรจา แต่ไม่ได้มีหลักการอะไร ก็มีตั้งกรรมการต่างๆ ขึ้นมา แต่คนที่เห็นช่องทาง ตอนที่พลเอกชาติชายทำเรื่องสนามรบเป็นสนามการค้า ที่ทักษิณ ชินวัตร ก็เริ่มเข้ามาในวงการการค้าและธุรกิจ ก็มองเห็นตลาด 18 ล้านคน (กัมพูชา) เรื่องการที่จะเข้าไปครอบงำกัมพูชาทักษิณเขามีมานานแล้ว ที่ตอนนั้นก็มี JDA ไทย-มาเลเซีย (พื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย Joint Development Area: JDA) ทักษิณมองเห็นภาพเลยถึงเรื่องพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-กัมพูชาทางทะเล แต่ก็ติดขัดเข้าไปไม่ได้ในส่วนพื้นที่ของไทย ทักษิณก็เคยบอกว่าหากพื้นที่ทับซ้อน ก็เอามาแบ่งกัน 50-50 เอามาพัฒนาร่วม ซึ่งมีพื้นที่ถึง 26,000 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าที่ภาคใต้ JDA ถึงสามเท่า
พวกตะวันตกกับฝ่ายฮุน เซนที่เป็นเผด็จการ มันก็ง่าย หากจะให้เงินสักก้อน ซื้อสัมปทานล่วงหน้า บริษัทฝรั่งก็ให้สัมปทานฮุน เซนล่วงหน้า เพราะผู้นำไทยที่เป็น Deep state ประกาศแล้วให้หารสอง ฮุน เซน ก็พยายามสร้างเงื่อนไขต่างๆ เช่นเกาะกูด แต่ประเด็นคือ "ค่าดำเนินการ" ซึ่งคนที่ต้องเรียกร้องคือรัฐบาลระบอบทักษิณ คำถามคือต้องจ่ายเท่าไหร่ พูดง่ายๆ ฮุน เซน อาจต้องนำเงินก้อนหนึ่งที่อาจต้องเท่าๆ กันมาให้ไทย เพื่อให้เร่งดำเนินการแล้วก็มาเอาคืนทีหลัง เรื่องคลิปเสียง ฮุน เซน มันออกฝ่ายเดียว แล้วคนที่เอามาออกคือฮุน เซน ที่อาจมีการตัดออกไปแล้วก็ได้ คือมีการทวงหนี้ ขอคืน
-คือคิดว่าขัดแย้งกันเรื่องผลประโยชน์?
ยุทธศาสตร์แบบนี้มันไม่มีใครแถลงให้สาธารณชนทราบ นโยบายหารสองก็ไม่มีใครมาแถลงในรัฐสภา ตรงนี้ผมวิเคราะห์จากบริบทต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น เพราะเคยมีประสบการณ์การทำงานอย่าง JDA ไทย-มาเลเซีย ผมเข้าไปเกี่ยวข้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเป็นนายทหารโครงการ ผมถึงมองภาพออก เป็นเรื่องความไม่ลงตัว เป็นเรื่องจินตยุทธของผม เพราะเวลาที่มันเกิดเหตุขึ้น มันไม่มีใครที่จะมาบอกความจริงเรื่องแผนรบ แผนยุทธศาสตร์อะไรต่างๆ เมื่อฝ่ายตะวันตกรู้ว่าไทยเอายากแล้วหารสอง เพราะฝรั่งก็รู้เรื่องกฎหมายทะเล เรื่องพื้นที่เกาะ พวกฝรั่งก็ขอคืน ฮุน เซนก็ต้องคืน จะไปเล่นกับฝรั่งไม่ได้ ฮุน เซน เลยมาทวงคืนเงินที่จ่ายให้ไปแล้ว ก็ไม่มีการคืนเงินไปให้ เชื่อว่าประมาณนั้น
นอกจากนี้วิธีการของฮุน เซน ไม่จำเป็นต้องสร้างค่านิยมเรื่องรักชาติมากเท่าใด สร้างอย่างเดียวเลยคือให้มึงกลัวกู (ประชาชนชาวกัมพูชา) เป็นอำนาจนิยม จึงยากที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง อาจจะมีบ้างในคนยุคใหม่ๆ แต่อย่าลืมยุทธศาสตร์รุกคืบ มันได้หลายอย่าง เช่นได้กำลังใจ เพราะพื้นที่นาสาโทของเมืองไทย เขมรแม่งเข้ามาสร้างบ้านเรือนได้ที่อยู่เลย รัฐบาลเขมรก็ไม่ว่าอะไร แต่คนไทยเดือดร้อน นี่คือความแตกต่างระหว่างไทยกับกัมพูชา เป็นการรุกทีละคืบ สงครามที่เกิดขึ้นไทยกับกัมพูชาเมื่อ 24 ก.ค.ที่เริ่มต้นขึ้นวันนั้น มันเป็นแค่โซลูชันสุดท้าย เมื่อตกลงกันไม่ได้ ขัดแย้งกัน เสียผลประโยชน์ ไม่มีวิน-วิน ก็เลยเกิดสงครามทันที ถึงได้เคยเกิดมาแล้วตอนปี 2554
-ยิ่งภายใต้รัฐบาลทักษิณ ฮุน เซน ที่เป็นเผด็จการยิ่งไม่กลัว?
โอ้โห หมูสะเต๊ะเลย หมูในอวย แต่หากเป็นรัฐบาลอื่นอย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ลำบากเพราะเป็นรัฐบาลมาจากรัฐประหาร แม้ต่อมาจะมาจากการเลือกตั้ง (2562) แต่ในเชิงการเมืองตอนนั้นไม่มีพรรค ก็เท้าลอย ก็อึดอัด แล้วจะหาแนวร่วมเรื่องนี้ แทบจะไม่มีแนวร่วมเลย ทุกคนก็บอกว่าเฉยไว้อย่าไปยุ่ง แต่ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มีการออกกฎหมายว่าด้วยทรัพยากรทางทะเล เมื่อปี 2562 ที่เป็นดาบป้องกัน โดยมีการกำหนดหน่วยปฏิบัติคือศูนย์รักษาทรัพยากรฯ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
-ถึงแม้จะยังไม่ยกเลิก MOU 2543-MOU 2544 แต่ถ้ามีรัฐบาลที่เข้มแข็ง ที่ไม่ใช่รัฐบาลของทักษิณ ก็ยากที่เขมรจะเข้ามาฮุบผลประโยชน์ (พลังงาน)?
MOU ไม่ใช่สนธิสัญญา เป็นแค่ข้อตกลงธรรมดาระหว่างรัฐ ไม่ได้เป็นกฎหมาย จะมาอ้างว่า MOU เป็นสัญญาก็ไม่ได้ เพราะต้องผ่านกระบวนการต่างๆ ของไทย แต่หากเป็นรัฐบาลใหม่มาที่ไม่ใช่รัฐบาลของทักษิณ โอกาสที่เขมรจะมาปะทะด้วยก็น่าจะน้อยลง หรืออาจไม่เกิดขึ้นก็ได้
-แสดงว่า "รัฐบาลทักษิณ" คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ในรอบนี้?
ถูกต้อง ตรงนี้ชัดเจน รัฐบาลนี้อ่อนแอไหม ยกตัวอย่างเช่น รมว.กลาโหมที่เป็นนักการเมือง โดยนัยของสากลต้องเข้มแข็ง อย่างตอนปี 2554 ที่เกิดเหตุขึ้นก็เป็นรัฐบาลยิ่งลักษณ์
-หากอนาคตเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง รัฐบาลใหม่เป็นพรรคอื่นขึ้นมาเป็นแกนนำรัฐบาล ที่ไม่ใช่พรรคของทักษิณ สถานการณ์น่าจะเบาบางลง?
ผมคิดว่าน่าจะยุติเลย และอาจจะเกิดความสงบสุขอย่างแท้จริงก็ได้ หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แล้วรัฐบาลใหม่ อย่างที่เราเห็นกลุ่มรวมพลังแผ่นดิน ที่ก็มีนักวิชาการอะไรต่างๆ ทุกคนก็มองภาพคล้ายๆ กับผม ก็คือว่าทหารเข้มแข็งอยู่แล้ว แต่หากรัฐบาลเข้มแข็ง ก็จะทำให้การเจรจาต่อรองกับเขมรในอนาคตก็จะสะดวกง่ายขึ้น เช่นเรื่องของแผนที่ การเจรจาก็จะมีโจทย์ที่ชัดเจน และต้องยกเลิกเอ็มโอยู 2543 กับ 2544 ให้จงได้.