"เจ้านาย" หรือ "ผู้นำ" อำนาจจากตำแหน่ง VS อิทธิพลที่ได้ใจคน
คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงมีแต่คนเต็มใจทำตามหรือรับฟัง ในขณะที่บางคนต้องดิ้นรนเพื่อให้คนยอมทำตามหรือยอมรับฟัง? คำตอบมักอยู่ที่ความแตกต่างเพียงอย่างเดียว นั่นคือ "คาริสม่า" (Charisma) หรือลักษณะทางธรรมชาติบางอย่างที่ดึงดูดใจผู้คน
การชนะใจคนไม่ได้ใช้แค่สมอง แต่คือลักษณะและคุณสมบัติหลายด้านของบุคคลนั้น เช่น การสื่อสารที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย การปฏิบัติที่จริงใจ รวมถึงการมีทักษะทางอารมณ์และสังคม ในโลกของการทำงาน เราจะได้พบกับหัวหน้าหรือผู้บริหารที่มีลักษณะการบริหารงานที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งส่งผลต่อประสบการณ์และประสิทธิภาพในการทำงานของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง "เจ้านาย" (Boss) กับ "ผู้นำ" (Leader) จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราปรับตัวได้อย่างเหมาะสม และสำหรับผู้บริหารเองก็จะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาตัวเองให้เป็นที่ยอมรับและสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างแท้จริง
ภาพเปรียบเทียบและการมองเห็นความแตกต่าง ลองนึกภาพเรือลำหนึ่ง เจ้านาย เปรียบเสมือนกัปตันผู้ควบคุมหางเสือเรือ เขาคอยตะโกนสั่งการ เรียกร้องให้ลูกเรือพายแรงขึ้น ผลักดันให้เร็วขึ้น โดยอาจไม่สนว่าลูกเรือจะเหนื่อยแค่ไหน ในทางตรงกันข้าม ผู้นำ คือกัปตันผู้พับแขนเสื้อที่ลงเรือพร้อมกับลูกเรือ และเริ่มพายไปด้วยกัน ให้กำลังใจ สนับสนุน และสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นพายไปด้วยกัน ด้วยความเชื่อมั่นว่า "พลังของทีม" จะพาพวกเขาฝ่าคลื่นลมที่รุนแรงไปได้
โดยพื้นฐานแล้ว ความแตกต่างระหว่างเจ้านายกับผู้นำเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์และทัศนคติ เราสามารถแบ่งความแตกต่างที่สำคัญได้ 5 ประการ
1. อำนาจ vs. อิทธิพล
เจ้านาย ใช้อำนาจในการควบคุมและสั่งการ พนักงานในทีมให้ความเคารพเพราะตำแหน่งหรือความอาวุโสที่ได้รับการแต่งตั้ง บางครั้งก็ทำตัวเหนือกว่าลูกทีม ต้องการได้รับการเคารพนอบน้อม
ผู้นำ สร้างความเคารพและอิทธิพลผ่านความไว้วางใจและการร่วมมือกัน พวกเขาเป็นผู้ที่สร้างความเป็นผู้นำโดยการเป็นแบบอย่างให้พนักงานในทีมเดินตามรอยเท้าและคำแนะนำของเขา พนักงานให้ความเคารพเพราะการกระทำ ผู้นำจะไม่ทำตัวเหนือกว่า แต่จะเดินเคียงข้างทีมงานและมักจะเดินไปข้างหน้าเป็นผู้นำที่ทำให้ทีมอยากเดินตาม
2. มุ่งเน้นงาน vs มุ่งเน้นคน
เจ้านาย ให้ความสำคัญกับการทำงานให้เสร็จ อาจมองข้ามความอยู่ดีมีสุขของคนทำงาน พวกเขาเน้นดูผลลัพธ์ของงานและผลกำไรขององค์กร
ผู้นำ สร้างสมดุลระหว่างการบรรลุเป้าหมายกับการสนับสนุนความต้องการทางอารมณ์และสังคม ผู้นำไม่ได้มุ่งเน้นแค่ผลลัพธ์ แต่ยังมุ่งเน้นสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับผู้คน พวกเขาสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนรู้สึกปลอดภัย มีคุณค่า และได้รับแรงบันดาลใจ เพื่อให้คนทำงานได้อย่างดีมีประสิทธิภาพที่สุด นอกจากนี้ ผู้นำยังชอบปั้นคน อยากให้พนักงานได้พัฒนาเป็นคนเก่งเหมือนตัวเอง ด้วยทัศนคติว่าความสำเร็จมักเกิดจากการร่วมมือกันของทีม
3. สั่งการ vs สอนงาน
เจ้านาย เน้นสั่งการในสิ่งที่ต้องทำ โดยอาจไม่ได้เปิดรับความคิดเห็น พวกเขามักจะบอกให้ทีมทำโน่นทำนี่ แต่ไม่ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง การสื่อสารมักเป็นแบบไม่ค่อยอธิบายที่มาที่ไปหรือบริบท ทำให้ลูกน้องรู้สึกเหมือนเป็นเพียงเครื่องมือ
ผู้นำ ให้คำแนะนำ ปรึกษา และช่วยให้ทีมเติบโตทั้งทางอารมณ์และเส้นทางอาชีพ พวกเขาจะทำให้ดูเป็นตัวอย่าง (Lead by Example) Leader ที่ดีจะสื่อสารเป้าหมายและความคาดหวังได้อย่างชัดเจน พร้อมอธิบายเหตุผลและความสำคัญของงานที่มอบหมาย ทำให้ลูกน้องรู้สึกมีส่วนร่วมและเข้าใจบทบาทของตัวเองในภาพรวม ผู้นำจะใช้หลักการสร้างแรงจูงใจ ให้กำลังใจ และชื่นชม เพื่อให้ทีมงานทำงานกันอย่างมีความสุข แทนที่จะใช้การข่มขู่
4. ควบคุม vs ร่วมมือ
เจ้านาย พยายามควบคุมทุกการตัดสินใจและผลลัพธ์ พวกเขาอาจชอบควบคุมให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามแผน แต่เมื่อไม่ได้ดั่งใจอาจโมโหหรือเหวี่ยงวีนได้ง่าย การทำงานกับ Boss ที่เน้นการควบคุมและไม่เปิดกว้างต่อข้อเสนอแนะ จะทำให้ลูกน้องรู้สึกไม่มีแรงจูงใจ
ผู้นำ ส่งเสริมความร่วมมือ การเปิดใจคุย และการตัดสินใจร่วมกัน พวกเขาจะเริ่มต้นที่การจัดการตนเองเพื่อรักษาความสงบและความมั่นคงในจิตใจตนเองก่อน และจะเน้นให้คำปรึกษา คำแนะนำ และไว้วางใจให้ทีมแก้ปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการบริหารงานสไตล์ควบคุมจุกจิก (Micromanagement) Leader ที่ดีจะสร้างบรรยากาศการทำงานที่เป็นมิตร มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และเปิดกว้างต่อความคิดสร้างสรรค์
5. กล่าวโทษ vs รับผิดชอบ
เจ้านาย โยนความผิดเมื่อล้มเหลว หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ เมื่อทีมงานทำผิดทำพลาด เจ้านายจะหัวเสีย หงุดหงิด และลงโทษตำหนิทีมงาน
ผู้นำ รับผิดชอบต่อผลลัพธ์ ขณะเดียวกันก็สนับสนุนทีมผ่านความท้าทายต่างๆ ผู้นำจะคิดเสมอว่าการลงโทษทีมงานที่ทำผิดต้องคิดหลายชั้น และควรหาทางป้องกันมากกว่าการลงโทษ
ผลลัพธ์ของการเป็นเจ้านายและผู้นำ การเป็นเจ้านายมากเกินไปอาจสร้างวัฒนธรรมแห่งความกลัวหรือวัฒนธรรมที่ยอมตาม ซึ่งจะปิดประตูความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และความกระตือรือร้นของคนภายในทีม แม้คุณอาจพบว่าพวกเขาจะทำงานให้เสร็จ แต่พวกเขาจะไม่ทุ่มเทเกินหน้าที่ เพราะพวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับ "คุณค่า" ผู้นำที่มุ่งเน้นการสร้างความผูกพันทางอารมณ์และสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยนั้นเปรียบเสมือนการบำรุงเลี้ยงต้นไม้ให้เติบโตแข็งแรง ผู้นำจะสร้างไฟในใจทีมให้ลุกโชกโชนด้วยวิธีการสื่อสารให้มองเห็นเป้าหมายร่วมกันและแสดงให้เห็นทางสู่ความสำเร็จร่วมกัน
ทักษะทางอารมณ์และสังคม (Social and Emotional Learning - SEL) ที่ช่วยผู้นำ #การเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม หรือ SEL สามารถแยกย่อยออกเป็น 2 ทักษะสำคัญ คือ ทักษะทางอารมณ์ และทักษะทางสังคม ทักษะเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้นำ
ทักษะทางอารมณ์ (Emotional Skills)
การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness): ผู้นำที่ฝึกฝน SEL จะเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของตน ซึ่งช่วยให้พวกเขาจัดการอารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ที่ท้าทาย ผู้นำจะหยุดไตร่ตรอง สังเกตอารมณ์ และตอบสนองอย่างรอบคอบ แทนที่จะตอบสนองด้วยความหุนหันพลันแล่นเหมือนเจ้านาย
การจัดการตนเอง (Self-management): คือความสามารถในการควบคุมอารมณ์และการกระทำของตนเอง ผู้นำจะเริ่มต้นที่การจัดการตนเองเพื่อรักษาความสงบและความมั่นคงในจิตใจตนเองก่อน
การตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible decision-making): เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจอย่างมีจริยธรรมและรอบคอบโดยคำนึงถึงความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อื่น ผู้นำจะพิจารณาผลกระทบระยะยาวของการตัดสินใจที่มีต่อทั้งประสิทธิภาพการทำงานและความอยู่ดีมีสุขของทีมงาน
ทักษะทางสังคม (Social Skills)
การตระหนักรู้ทางสังคม (Social awareness): ผู้นำส่วนใหญ่จะมีทักษะการตระหนักรู้ทางสังคมสูง พวกเขามีความเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจความต้องการทางอารมณ์ของสมาชิกในทีม ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกมีคุณค่า
ทักษะด้านความสัมพันธ์ (Relationship skills): เป็นหัวใจสำคัญของความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบด้วยการฟังอย่างตั้งใจ การสื่อสารที่ชัดเจน และความสามารถในการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ ผู้นำสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งโดยให้คำแนะนำและการสนับสนุน
8 เทคนิคเปลี่ยนจาก Boss เป็น Leader
คุณจะกลายเป็นคนที่ชนะใจผู้อื่น และเป็นผู้นำที่มีทักษะทางอารมณ์และสังคมได้อย่างไร? ต่อไปนี้คือ 8 เทคนิค ที่จะช่วยให้คุณก้าวไปสู่ความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ
1. ฟังมากกว่าพูด (Listen More Than You Speak): ผู้นำที่ดีคือผู้ฟังที่ดี พวกเขาใช้เวลาในการรับฟังความกังวล ความคิด และข้อเสนอแนะของทีม
2. แสดงความเห็นอกเห็นใจ (Show Empathy): การเข้าใจความรู้สึกและความท้าทายของผู้อื่นช่วยสร้างความไว้วางใจ
3. ให้เครดิต (Give Team Credit): ผู้นำเฉลิมฉลองความสำเร็จร่วมกับทีม อย่ากลัวที่จะฉายแสงไปที่คนอื่น
4. ให้คำแนะนำ ไม่ใช่คำสั่ง (Provide Guidance, Not Orders): แทนที่จะบอกคนอื่นว่าต้องทำอะไร จงช่วยให้พวกเขาเติบโต ให้คำแนะนำ แบ่งปันความรู้ และให้พวกเขามีอิสระในการเป็นเจ้าของงานของตนเอง
5. เป็นตัวอย่าง (Lead by Example): ผู้นำที่แท้จริงจะไม่ขอให้คนอื่น "ทำในสิ่งที่ตัวผู้นำไม่ทำด้วยตัวเอง"
6. มีความยืดหยุ่น (Resilient): ผู้คนมักมองหาผู้นำที่นิ่งสงบภายใต้แรงกดดันและมองหาทางออก มากกว่าที่จะโทษคนอื่นหรือสถานการณ์
7. ผู้นำที่อ่อนน้อมถ่อมตน (Humble Leadership): ความถ่อมตนไม่ได้หมายถึงการโอนอ่อนผ่อนตาม แต่เป็นการมองเห็นหรือให้คุณค่ากับผู้อื่น โดยพยายามลดความสำคัญของตัวเองลง ทำให้คุณดูเป็นคนน่าเข้าหาและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
8. มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน (Visionary): ผู้นำที่ดีจะสามารถกำหนดอนาคตที่จูงใจให้ผู้คนมารวมตัวกันและทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันได้ รวมถึงสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น
ในท้ายที่สุดแล้ว "ผู้คนไม่ได้ทำตามเจ้านาย แต่พวกเขาทำตามผู้นำ" การทำงานกับผู้นำที่แท้จริงจะช่วยให้เรามีความสุข มีแรงบันดาลใจ และมีโอกาสพัฒนาศักยภาพของตัวเอง เมื่อคุณใช้เวลาในการสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ สนับสนุนทีม และเป็นผู้นำด้วยความเห็นอกเห็นใจ คุณกำลังสร้างวัฒนธรรมแห่งความภักดี ความไว้วางใจ และการมีส่วนร่วม "ผู้คนจะไม่ได้แค่ทำงานเพื่อคุณเท่านั้น แต่พวกเขาจะทำงานร่วมไปกับคุณ" และนี่คือจุดแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง "เจ้านาย" กับ "ผู้นำ" การเลือกที่จะเป็นผู้นำจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะได้ใจคนและสร้างผลงานที่โดดเด่น
อ้างอิง