สำรวจเรื่องไม่ Shine ที่ซ่อนในความ Shine ของมาย-อาโป
“ความ Shine ไม่ได้มาจากแสงสว่างเพียงอย่างเดียว
แต่ความ Shine จะเด่นชัดขึ้น…เมื่อถูกห้อมล้อมด้วยเงามืด”
ถ้าพูดถึงซีรีส์ที่สะท้อนสังคม หยิบยกประเด็นการเมือง จุดประกายความหวัง รวมถึงตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ก็คงไม่พ้น Shine The Series ที่เพิ่งเปิดตัวให้รับชมได้ทุกวันเสาร์ ทางช่อง WeTV และช่อง 7HD
THE STANDARD POP ชวน มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง และ อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ มาร่วมหาคำตอบผ่านบทสัมภาษณ์ที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 พาร์ต ทั้งเบื้องหลังซีรีส์และการแสดง (Shine On Stage) และเจาะลึกถึงตัวตนความ Shine และเงามืดของมาย-อาโป (Shine & Shadow)
เมื่ออ่านบทสัมภาษณ์จบ คุณอาจสะท้อนเห็นมุมใหม่ในตัวเอง และพบว่า…มนุษย์ไม่ได้มีแค่ด้านที่เปล่งประกาย แต่ยังมีเงามืดบางอย่างที่กำลังกดทับความ Shine ของเราโดยที่ไม่รู้ตัว
🔹Part 1: Shine On Stage (เบื้องหลังซีรีส์และการแสดง)
ในมุมของมาย-อาโป ซีรีส์เกย์ กับ ซีรีส์วายทั่วไป แตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร
อาโป:ส่วนตัวไม่รู้ว่าแตกต่างกันอย่างไร ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเป็นวาย ซีรีส์ Boy Love นี่เข้าใจ แต่วายยังไม่แน่ใจนิยามจริงๆ แต่ Boy Love ก็ตรงตัวเลย Boy ก็คือเด็กๆ นี่แหละครับ
มาย:ผมว่ามันก็แค่นิยามของผู้ชมที่มากำกับ มันเหมือนในตอนแรกที่มีคนกลุ่มหนึ่งมาบอกว่า นี่คือซีรีส์วาย มันก็เลยเรียกติดปากกันมาแค่นั้นเอง แต่จริงๆ แล้วมันก็คือผู้ชายกับผู้ชายที่มีความชอบซึ่งกันและกัน มีความรักซึ่งกันและกัน ซึ่งเรื่องนี้ (Shine The Series) เราอาจจะไม่ได้นิยามว่า Boy Love เพราะคำว่า Boy มันคือเด็ก แต่ตัววัยวุฒิของนักแสดงก็ไม่ได้เด็กแล้ว อายุ 30 ต้นๆ กันแล้ว (หัวเราะ) แถมเนื้อเรื่องมันมีความเข้มข้น มีความซับซ้อน ผมชอบเปรียบเทียบว่าวายที่มีความซับซ้อน มันมีรสชาติที่ให้เราได้จินตนาการเยอะกว่าก็เหมือนเรื่องนี้แหละครับ งั้น Boy Love, Gay, Man Love หรือว่าวายจริงๆ ก็คืออันเดียวกัน ก็ไม่ผิดอะไรก็ไม่แปลกอะไร จริงๆ มันเป็นเรื่องที่เขาก็เรียกกัน แต่ซีรีส์เรื่องนี้น่าจะสนุกนะครับ
อาโป:โปว่ามันคือการนิยาม เพื่อให้เห็นภาพชัดอย่างตรงไปตรงมา เพราะว่าคำว่า Shine ที่เขียนแบบไทยมันแปลว่า ‘ผู้ชาย’ อยู่แล้ว และเรื่องนี้มันมีแต่ผู้ชาย แล้วผู้ชายเขารักกัน เราก็เรียกตรงๆ ไปเลยว่า มันคือเกย์
ความยาก-ง่ายของการแสดงในบริบทยุค 2512 ( Bangkok 1969) มีการทำการบ้านกับบริบทสังคม และแนวคิดของตัวละครอย่างไร และทำการบ้านกันหนักแค่ไหน
อาโป: ทุกตัวละครจะมี 3 สิ่งที่ต้องรู้เลยคือ 1.เศรษฐกิจ 2.สิ่งแวดล้อม 3.การเมือง ที่จะเป็นตัวบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยของคนยุคนั้น
อย่างแรก ‘เศรษฐกิจ’ เงินสะพัดของยุคนี้กับยุคนั้นค่อนข้างต่างกัน การใช้สอยในยุคนั้นไม่สามารถที่จะเปิดโซเชียลขึ้นมาแล้วช็อปได้เลย ยุคนั้นจำเป็นต้องไปดู ต้องไปสัมผัส นี่คือความแตกต่างที่ทำให้บุคลิกภาพของคนเปลี่ยนไป
‘สภาพสังคม’ ในยุคนั้นมันไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพราะฉะนั้นสภาพแวดล้อมในสังคมคนก็จะพูดคุยกันเป็นส่วนใหญ่ สังเกตไหมว่าอินโทรเวิร์ตถูกใช้กันหมู่มากในยุคนี้ เพราะว่าทุกคนเขาอยู่กับตัวเอง อยู่กับโทรศัพท์ อยู่กับคนในโทรศัพท์กันเป็นส่วนใหญ่ แต่ ณ ยุค 1969 หรือ พ.ศ.2512 มันน้อย มันเลยทำให้ผู้คนเขาไม่ได้นิยามว่าจะเป็น ‘อินโทรเวิร์ต’ หรือ ‘เอกซ์โทรเวิร์ต’ แต่ทุกคนคือ ‘มนุษย์’ มันไม่ได้จำกัดความ ทุกคนเหมือนกัน มันมีการติดต่อสื่อสารคนละแบบ
‘การเมือง’ การเมืองยุคนี้กับยุคนั้นก็ไม่เหมือนกัน การเมืองยุคนี้ค่อนข้างอิสระกว่ายุคนั้นในหลายๆ ทาง เรามีการแสดงความคิดเห็นได้ในหลากหลายรูปแบบ การยอมรับความหลากหลายมันไม่เหมือนกัน ทำให้บุคลิกภาพคนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
คิดว่า 3 ข้อนี้มันทำให้ง่ายต่อการเข้าใจหลัก เพราะสมมติอย่างวันนี้โปแต่งตัวใส่เสื้อแจ็คเกตหนังกลับ ใส่กางเกงสีบานเย็นชมพูมา ถ้าในยุคก่อนคนอาจจะมองว่า ทำไมถึงแต่งตัวไม่เหมือนชาวบ้าน แต่พอในยุคนี้ความแตกต่างเป็นสิ่งที่ดี เราควรจะยอมรับในสิ่งที่เป็น ที่เราชอบความสดใสอะไรแบบนี้ โปคิดว่า 3 ข้อหลักๆ นี้ สามารถบอกบริบทได้ในทุกๆ ตัวละครที่เราไปเล่น โดยเฉพาะการเล่นพีเรียดแบบนี้
เราเลยนำหลักพวกนี้มาปรับใช้เป็นตัวละครของ ‘ตฤณ’ ใช่ไหม
อาโป: ใช่ เป็นตัวละครและบุคลิกภาพของตฤณ ของคนที่เขาเรียนมาเยอะ แล้วก็รู้สึกว่าทุกสิ่งมันเปลี่ยนแปลงได้ แค่มันยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย แล้วมันจะต้องทำอย่างไร อย่างถ้าเป็นคนแบบตฤณที่อยากทำให้ประเทศดีขึ้น อยากทำให้สังคมดีขึ้นถ้ามาในยุคนี้มันเคยเกิดขึ้นแล้ว แล้วมันเป็นไปได้ เขาก็จะสู้อีกแบบหนึ่ง แต่ในยุคนั้นเขาก็สู้อีกแบบหนึ่ง
มาย: ในพาร์ตของผม ผมใช้วิธีการทำงานที่เหมือนการใช้ชีวิตเลยครับ ผมจะมองวิธีการทำงานเริ่มจาก Top Down และ Bottom Up ขึ้นไป
Top Down คือเรามองจากภาพกว้าง หรือมองจากจุดหมายลงมาให้เห็นถึงรากของตัวละคร หรือบางทีมอง Bottom Up ขึ้นไปก็คือมองตัวละครว่าจริงๆ แล้วมันมีความรู้สึกอย่างไรเพื่อไปสู่เป้าหมายของตัวมันเอง มันมีวิธีการมอง 2 อย่าง แล้วมารวมกับบท บทมาอย่างไรเราก็ต้องมาเบลนด์ให้เข้ากับวิธีการมองต่างๆ แต่ว่าเรื่องนี้มันจะมีเทคนิคในการทำตัวละครของผมเพิ่มเติมคือ พอเรารู้ Side story ที่เป็นแบ็กกราวด์ที่อาจจะไม่ได้เล่าในเรื่อง เราทำตรงนั้นละเอียดหน่อย เพื่อให้ละเอียดในการเล่นให้ถึงขีดสุดเท่าที่เราทำได้ เราเตรียมไปโดยที่เราอาจจะไม่ต้องไปปรึกษาผู้กำกับก็ไปเล่นตรงนั้นเลย แต่วงเล็บคือยังอยู่ในกรอบของที่เคยคุยกับผู้กำกับไว้ ก็คือครูหนิงที่เป็นคนพัฒนาบทกับพี่ปอนด์มาบางส่วน
ยกตัวอย่างเช่น กีตาร์ มันใช้กีตาร์ตรงยุคจริงหมด เขาอยากให้ทุกอย่างตรงยุคหมด เราก็ใช้กีตาร์สะสมของเรา แต่ว่าเรารู้สึกว่าความเป็นฮิปปี้ในยุคนั้นจริงๆ เส้นทางมันมาจากความอยากจะเกิดอิสระ อยากมีความแตกต่าง เทรนด์หลักของฮิปปี้ในยุคนั้นที่ไม่ได้ถูกเล่าในเรื่องนี้มันคือ ไซเคเดลิกร็อก (Psychedelic rock) ฮิปปี้มีการตีความหลากหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่ลุคที่เราเห็นภาพกันจะเป็นแบบที่ธันวาเป็นนั่นแหละ แต่ภายใต้ลุคนั้นเทรนด์หลักในสมัยก่อนที่จะไปเจอสมัยของ จอห์น เลนนอน ในประมาณปี 1972 – 1973 ประมาณนั้น ถ้าย้อนกลับไปจากยุคนั้นมันคือ ไซเคเดลิกร็อก (Psychedelic rock) ผมก็เลยเอาความไซเคเดลิกร็อก (Psychedelic rock) มาทำใส่กีตาร์ให้มันเห็นภาพมากขึ้น หรือแม้กระทั่งพวกประวัติศาสตร์ต่างๆ ก็เอามาใส่ เพราะมันคือวิธีการคิดบางอย่าง ต่อให้ธันวาจะเป็นตัวนั้น 100% หรือเปล่าไม่รู้ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ตัวละครตัวนี้ในยุคนั้นเป็นลุคแบบนี้มันมีเทรนด์อยู่
บางคนอาจจะมีความสับสนแต่ส่วนตัวเราทำละเอียด จริงๆ แล้วยุคที่เห็น จอห์น เลนนอน มาเป็นเหมือนผู้นำของฮิปปี้มันคือในช่วง 70s ต้น – ปลายๆ แล้วนะ ช่วงเวลามันหลังจากเรื่องนี้ ผมก็จะไม่เลือกชอยส์นั้น ผมก็จะเลือกที่เป็นตระกูลวูดสต็อก (Woodstock) ถ้าคนรู้จักคอนเสิร์ตวูดสต็อก (Woodstock) ก็จะรู้จักฮิปปี้มาจากตรงนั้นเป็นหลัก ผมเลยเข้าใจว่าคนยุคนั้นที่เห็นภาพพวกนี้ เหมือนเราอยากจะไปปลายทาง แล้วปลายทางมันคืออะไร อันนี้เป็นตัวอย่างในการทำงานนะครับ แล้วก็แตกออกมาเป็นเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ผมว่าการทำ Pre-Production ต้องลึกที่สุดเท่าที่ทำได้ภายใต้กรอบของทีมที่ต้องการ และภายใต้กรอบของจินตนาการที่เราจะจินตนาการถึง เพราะถ้าเราเอาที่ทุกคนว่าตรงกันหมดอย่างเดียว แล้วไม่ได้ใส่จินตนาการของเรามันคงแข็ง มันไม่ใช่งานศิลปะ อันนี้เราต้องอย่าลืมว่ามันคืองานศิลปะกึ่งคอมเมอร์เชียล (Commercial) อย่างน้อยครึ่งหนึ่งก็ยังเป็นศิลปะ
อาโป: โปว่าเสน่ห์ความ Shine ของแต่ละคนคือ ทุกคนจะเล่าชีวิตของตัวเองในแบบของตัวเอง อันนี้ถึงเรียกว่า Shine เพราะพอเราเอาเส้นทางทั้งหมดมาสร้าง เรายังเล่าชีวิตตัวเองได้เลย เราก็ต้องเล่าชีวิตตัวละครได้แบบนั้น สมมติโปกับพี่มายเล่นตัวละครเดียวกันการเล่ามันก็คนละแบบ
มาย:ใช่ ประมาณนั้น หรือพฤติกรรมที่เป็นเนเจอร์ก็ไม่เหมือนกัน ต่อให้ปรึกษาตีความเหมือนกันเป๊ะ จังหวะเดินหรืออะไรต่างๆ ก็ไม่เหมือนกัน พวกนี้สามารถสร้างใหม่ขึ้นมาได้หมดตามคาแรกเตอร์ที่เราคุยกันกับทีม เรื่องนี้ผมตั้งใจให้หุ่นไม่ได้ลีนมาก เพราะผมว่าในยุคนั้นคนที่ฮิปปี้มีความสุขในไทย เขาไม่เข้าฟิตเนสหรอก คงติดเผละนิดนึงอะ เราก็ยอม เราตีความตัวละครมันเป็นแบบนั้น เราจะยัดภายใน 3-4 เดือน ไล่ให้มันลีนเหมือนสมัยคินน์ (ตัวละครจาก KinnPorsche The Series) ก็ได้ แต่เราก็ไม่ได้เลือกชอยส์นั้น มันอาจจะสวยในภาพการมองแต่ว่าสำหรับงานศิลปะที่เราสร้าง เราไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนั้น มันอยู่นอกเหนือจากที่เราจินตนาการไว้
ย้อนกลับไปถึงเป้าหมายตัวละครที่พูดไว้ อยากรู้ว่าเป้าหมายตัวละครของ ‘ตฤณ’ และ ‘ธันวา’ คืออะไร
อาโป:เป้าหมายของตัวละครตฤณคือการทำให้โลกดีขึ้น การทำให้ประเทศดีขึ้น อยากทำให้ที่ที่เขาอยู่ดีขึ้น ดีขึ้นหมายความว่าทุกคนมีสิทธิเป็นของตัวเอง ทุกคนเท่าเทียมกัน เพราะในยุคนั้นมันเกิดขึ้นที่เมืองอื่นๆ ของประเทศอื่นๆ แต่มันยังไม่ได้เกิดขึ้นในไทย
มาย:(หัวเราะ) ถ้าตัวธันวามันคือ Seize the day ทำทุกวันให้มีความสุข หรือที่เขาเรียกว่า ‘สุขนิยม’ คำอาจโบราณนิดนึง ทำทุกอย่างให้ Seize the moment ให้ทุกโมเมนต์มีความสุขก็พอ ธันวาดูเหมือนคนไม่มีเป้าหมาย แต่ว่าการใช้ชีวิตคือให้มีความสุขนั่นคือเป้าหมาย เวลาแสดงเราก็จะเลือกอันนั้น วงเล็บภายใต้แบ็กกราวน์หลายๆ อย่างที่ต้องไปดูในเรื่อง เพราะแค่สุขนิยมก็คงไม่พอที่จะทำให้ตัวละครมันน่าสนใจ ตัวธันวามันมีความเข้าใจความเป็นมนุษย์ค่อนข้างสูง มันใช้ชีวิตมาถึงในวัย 20 กว่าๆ มันเข้าใจอยู่แล้วแหละ เพียงแต่ว่าใน โมเมนต์ที่เราเลือกในเรื่องนี้มันใช้คำว่า Seize the day หรือ Seize the moment เพราะว่ามันอาจจะมีปมบางอย่าง ความต้องการบางอย่าง หรืออาจจะผ่านเรื่องราวที่ไปเกี่ยวข้องกับตัวละครอื่นๆ พูดได้ไหมล่ะถ้าพูดก็ติดสปอยล์อะ (หัวเราะ) เอาเป็นว่าเป้าหมายมันคือใช้ชีวิตให้มันมีความสุขในทุกๆ วัน (หัวเราะ)
ตัวละคร ‘ธันวา ฉัตรบดี’ และ ‘ตฤณ สุวรรณภาสน์’ มีความเหมือนและแตกต่างกับตัวเองอย่างไร
มาย: ให้เหมือนประมาณ 70% คงเหมือนตรงที่ชอบดนตรีเหมือนกัน เหมือนที่ในมุมของการเข้าไปหาความสุข มีวิธีการบางอย่างเหมือนกัน แต่อาจจะไม่ใช่ประเภทเอกซ์โทรเวิร์ตที่สามารถดึงคนอื่นเข้ามาในโลกของเราเป็นเวลานานได้ เราต้องการการชาร์จแบตบางอย่าง ต้องการ Critical thinking กับตัวเอง เราเป็นเหมือนสไนเปอร์ ปั้ง! แต่ธันวา เจ้านั่นเป็นเหมือนปืนกลมากกว่าในการใช้ชีวิต วิธีการหรือความสุขที่ต้องการ ความชอบ ภายนอกบางอย่างที่มีความคล้ายกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันที่สุดก็คือชอบอิสระเหมือนกัน อุ๊ย! อยากเล่าละเอียดจังเลย (หัวเราะ)
อาโป: จริงๆ ก็คล้ายนะ โปอยากทำให้ที่ที่โปอยู่มันดีขึ้น ทั้งตัวเรา คนใกล้ตัว ครอบครัว ที่ทำงาน อุตสาหกรรม สังคม หรือประเทศที่เราอยู่ เราอยากให้มันดีขึ้น มันเป็นสิ่งที่ตัวละครก็คิดเหมือนกันว่ามันดีขึ้นได้ มันเปลี่ยนแปลงได้ เป้าหมายเดียวกัน แต่วิธีการอาจจะไม่เหมือนกัน
อย่างตัวละครพอเขาเรียนมาเยอะ เขาไม่ได้ผ่านโลกความเป็นจริงมาเยอะมาก มันเลยทำให้เขาไม่สามารถที่จะปรับตัวกับสิ่งต่างๆ ได้ แต่ในส่วนตัวเอง โปคิดว่าเราโชคดีที่ได้ทำงาน ได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่หลากหลาย อย่างเช่น ได้เจอพี่มาย ได้ไปออกกองต่างๆ ได้ไปต่างประเทศ หรือการได้เจอ THE STANDARD บุคลิกภาพ สังคม แต่ละที่ที่ไปมันไม่เหมือนกัน มันทำให้เห็นสังคมในหลายๆ รูปแบบ ได้เห็นโลกแห่งความเป็นจริง อย่างล่าสุดที่เพิ่งไปมาที่เห็นชัดเลยคือไปลอสแอนเจลิส, ไมอามี, นิวยอร์ก, เบลเยียม มันเลยทำให้ในระยะเวลา 1-2 อาทิตย์นี้ มันเห็นคนในสังคมที่แตกต่างกันอย่างรวดเร็ว จากสถานที่ที่อยู่ สังคมต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทุกสิ่งทุกอย่าง เลยทำให้คนคิดและเป็นแบบนี้ แปลว่าพอเราได้เจอโลกความเป็นจริง มันไม่มีผิดมีถูกหรอก เราต้องออกไปเจอโลกแห่งความเป็นจริง วิธีการเลยต่างกับตัวละคร
จริงๆ โชคดีมากที่วันนี้ได้มีแฟนๆ ในหลากหลายที่ โปก็อยากให้พวกเขาได้มีชีวิตที่ดีขึ้นด้วย ผ่านผลงาน ผ่านบทสัมภาษณ์ ผ่านสิ่งต่างๆ กิจวัตรของเรา สิ่งที่เราทำ แค่เราทำตัวบ้าๆ บอๆ สนุกสนาน เขาก็รู้สึกว่ามันเติมเต็มความสุขของพวกเขา อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้รู้สึกว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
มาย:ก็คล้ายๆ กับธันวา เรื่องสุขนิยมแหละ ตัวละครไม่ได้โฟกัสแต่ตัวเอง เพราะว่าสุดท้ายจะอินโทรเวิร์ตหรือเอกซ์โทรเวิร์ตอะไรก็ตาม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ตัวเราก็ Sharing is Caring พูดเหมือนใน THE STANDARD ตลอดที่บอกมา ความสุขง่ายๆ คือการเห็นคนอื่นมีความสุข มันก็เป็นวิธีหนึ่งที่ง่าย แต่ว่าจะทำให้เขามีความสุขด้วยวิธีอย่างไรก็แล้วแต่วิธีการ หรือจังหวะของแต่ละคน ธันวาก็เป็นสไตล์นั้น
ตัวละคร ‘ธันวา ฉัตรบดี’ และ ‘ตฤณ สุวรรณภาสน์’ ได้เปลี่ยนแปลงความคิด หรือมุมมองใหม่ๆ ของมาย-อาโป บ้างไหม แล้วได้นำกลับมาใช้กับตัวเองอย่างไรบ้าง
อาโป:มีนะครับ ในหลายๆ ครั้งที่โปได้รับบทต่างๆ เราก็จะเข้าไปค้นหาตัวละครแล้วก็กลับมาดูกับตัวเองว่าการที่เราทำสิ่งต่างๆ มันคล้ายกับสิ่งที่ตัวละครทำไหม ตอนที่เราเล่นเป็นตัวละครมันเห็นตอนจบ เราก็รู้ว่าพฤติกรรมอย่างนี้ ถ้าเขาทำแบบนี้ก็จะส่งผลไปตอนจบแบบนี้ เพราะเขามีนิสัยแบบนี้ เราก็มาถามตัวเองว่าแล้วเราล่ะ มีพฤติกรรมที่คล้ายกับตัวละครไหม ถ้าตอนจบมันเป็นแบบนั้น เราควรจะปรับเปลี่ยนนิสัย มันก็เป็นพัฒนาการ แต่หลากหลายตัวละครที่ได้รับมามันเป็นตัวละครที่มันเติบโตในเชิงวิธีคิด ทางด้านร่างกาย หรือทุกๆ สิ่ง แต่พอมาเรื่อง Shine มันมีหลายๆ อย่างในตัวละครที่ทำให้เรารู้สึกว่าอันนี้เราไม่ได้เป็น ยกตัวอย่างเช่น สู้จนไม่ลืมหูลืมตา มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า อ๋อ เราไม่ได้เป็นแบบนั้น เราปรับตัว คล้ายขนมเปียกปูนเวลาจิ้มมันยวบเลยเนาะ ซึ่งเราไม่ใช่แบบนั้น เพราะเราพร้อมปรับตัว โปพยายามจะเป็นน้ำ สามารถเข้าได้กับทุกภาชนะ โปว่าในเรื่อง Shine มันก็ทำให้เราเห็นในมุมที่ไม่เวิร์คบ้าง ในบางจังหวะของตัวละคร เราก็กลับมาสะท้อนกับตัวเองบ้าง มันก็น่าสนใจในอีกแบบ
มาย: ผมว่าความเจ๋งของการเป็นนักแสดง ซึ่งเราเพิ่งได้มาอยู่จริงๆ จังๆ ประมาณ 4-5 ปีนี้ ทุกครั้งที่เราจะทำอะไรจริงจังในฐานะนักแสดง มันมีการทำ Pre-Production ตรงนี้แหละที่เราต้องเข้าไปในตัวละคร สำรวจตัวละคร มันคือการจินตนาการหรือทำตัวละครขึ้นมา ในระหว่างที่ทำตัวเราเป็นคนทำเอง เราก็จะเห็นว่าถ้าทำอย่างนี้มันก็ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ หรืออย่างนี้มันดีกว่า ทุกครั้งเราเรียนรู้ตัวเขาก็เหมือนเราได้เรียนรู้ไปในทางเดียวกัน ตอบคำถามนี้ว่าได้มุมมองที่หลากหลายมากๆ ในการเลือกตัดสินใจหรือแม้กระทั่งตอนที่เราแสดงเอง สุดท้ายแล้วจิตใต้สำนึกของเราก็จะมีความรู้สึกตัวที่หลงเหลืออยู่ว่า การแสดงออกแบบนี้ของตัวละคร การฟาดกีตาร์ ลึกๆ แล้วรู้สึกว่าอารมณ์นั้น จังหวะนั้น มันได้เรียนรู้ตัวเองไปในตัว ซึ่งก็เรียนรู้มาตลอดกับตัวธันวา
สามารถสปอยล์สักเรื่องได้ไหม
มาย: คนที่บอกว่าเข้าใจชีวิตหรือว่าปล่อยวาง จริงๆ เขาอาจจะเป็นคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยในตัวเองก็ได้ เขาแค่มีเหตุผลให้กับตัวเอง (ยิ้ม)
อาโป: ตฤณคือหนึ่งในคนที่เชื่อว่ามีคนอีกมากมายที่เชื่ออย่างหนักแน่นว่าโลกต้องเป็นแบบนี้ ทำแบบถูกต้อง แต่มันมีอีกหลายตัวละครที่ทำให้ตฤณรู้สึกว่ามันไม่ใช่ โลกมันเป็นอีกแบบ โลกแห่งความเป็นจริงมันเป็นแบบนี้ ไอ้น้อง ไอ้หนุ่ม ลองดู ลองสิ่งใหม่ๆ ดู เพราะพระจันทร์ไม่ได้มีด้านเดียว อีกด้านที่มืดไม่ได้หมายความว่าไม่มี แต่แค่คุณไม่ได้ลองสำรวจมัน
มีฉากหรือช่วงไหนในซีรีส์ที่รู้สึกว่า “อิน” เป็นพิเศษบ้างไหม เพราะอะไร
อาโป: ช่วงที่โปอินเป็นพิเศษมันเป็นช่วงที่เขาได้ค้นพบความจริง และตื่นรู้จากสิ่งต่างๆ เป็นภาวะที่เขาลงไปจุดต่ำสุดแล้วเขาก็ตื่นรู้ เป็นพาร์ตที่ชอบที่สุด และอยากให้ทุกคนรอดู เชื่อว่าทุกคนก็คงรู้สึกเหมือนกับเขา
มาย:ยังไงดี (หัวเราะ) ในฐานะนักแสดงเราต้องเข้าใจและรู้สึกก่อนที่จะแสดงออกมาก็อินหมดอยู่แล้ว แต่ถ้าแบ่งเป็นฉากๆ พูดยาก เพราะเราแปลกนิดนึง เราดูเป็นแค่คนสุขนิยม ดูแบนๆ ในนิยาม แต่จริงๆ เลเยอร์ในความคิดของธันวาลึกมากๆ ถ้าไปดูในเรื่องจนจบจะเข้าใจว่าลึกอย่างไร ลึกจนถึงสุดโต่งเท่าที่ผมจะใช้เรื่องจิตใต้สำนึกภายในมาช่วยได้ด้วยซ้ำในการทำการบ้าน แต่ในตอนแสดงเราก็เข้าไปในตัวละครตอนนั้น ตัวธันวาเลยลึกมากๆ
ในอนาคต มาย-อาโป อยาก shine ในบทบาทงานแสดงประเภทไหนมากที่สุดมาย: เลือกเป็นสักบทบาทยาก แต่ผมอยากทำงานคราฟต์ ไม่ได้อยากจะเลือกงานที่บทมาก่อน 2 วัน แล้วรีบเล่นเลย จริงๆ ก็ทำได้มันก็เป็นส่วนหนึ่งของวิธีการทำงาน แต่ถ้าเราเลือกได้ก็คงคล้ายๆ Shine, คินน์พอร์ช หรือแมนสรวงในยุคที่ผ่านมา มันมีเวลาในการทำ Pre-Production ให้เราได้ตกตระกอน เพราะเราก็อยากสร้างงานศิลปะที่มีคุณภาพ มีคุณค่ากับเราที่ผ่านไป 5 ปี 10 ปี แล้วรู้สึกว่าไม่เขิน รู้สึกว่าไม่ทำร้ายสังคม ซึ่งบริบทพวกนี้มันก็ไม่ได้ง่ายที่อยากได้แล้วก็ได้เลย ก็ใช้ประสบการณ์ในการไปถึงตรงนั้นมากเหมือนกัน สุดท้ายอยากทำงานคราฟต์ในทุกๆ งานถ้าเลือกได้
อาโป: โปอยากเล่นละครเพลง อย่าง The Greatest Showmanหรือ La La Landโปชอบตรงที่เวลาสื่อสาร เราสื่อสารผ่านการพูด การตีความหรือว่าความสนุกเพลิดเพลิน มันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของคนที่ดู แต่พอเป็นละครเพลงมันมีซาวด์มาให้ด้วย งั้นแปลว่าคนดูจะรู้สึกตามสิ่งที่ตัวละครอยากถ่ายทอดจริงๆ สมมติว่าตัวละครหนึ่งร้องเพลง เช่น Far Side Of The Moon
On the Far Side Of The Moon (อาโปร้องเพลง Far Side Of The Moon) ถ้าเป็นออริจินัลก็จะรู้สึกสบาย กว้างไกล แต่ถ้าเราอยากให้เขารู้สึกเหงาจังเลย On the Far Side Of The Moon (อาโปร้องเพลงด้วยอารมณ์เศร้า เหงา) คนดูก็จะรู้สึกตามเพราะว่ามันมีซาวด์มาให้แล้ว มันไม่ได้เป็นเรื่องของการตีความแล้ว มันเป็นเรื่องของการพาเข้าไปอยู่กับตัวละคร แบบที่ผู้กำกับอยากให้เป็นจริงๆ ส่วนตัวโปเป็นคนชอบฟัง Ambient ฟังออร์เคสตรา เพลงบรรเลง แล้วทำไมถึงชอบฟัง
มาย:ขี้เกียจจำเนื้อ (ทั้ง 2 คนหัวเราะ)
อาโป: อันนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว (หัวเราะ) โปรู้สึกว่าโปอยากจินตนาการ อยากมีพื้นที่จินตนาการ พอมันเป็นเพลงที่มีคนร้องมันเหมือนเขาบังคับให้เราไปตามเขา แต่บางทีเราไม่ได้อยากไปตามเขา เรามีวิธีคิดอีกแบบหนึ่ง เรามีความเชื่ออีกแบบหนึ่ง การฟัง Ambient หรือการฟัง Score เราก็จะไปของเราตามจินตนาการ ตามประสบการณ์ที่เราผ่านมา
มาย:ขอเสริมต่อ (ยิ้ม) ถ้าเลือกได้ผมอยากเล่นหนังผีมากเลย กับเล่นอัตชีวประวัติ ผมอยากเล่นหนังที่ไปเข้าใจใครสักคน เข้าไปในหัวสมองของคนนั้น แล้วจะได้เห็นและได้สำรวจ การไปเป็นใครสักคนมันยากอยู่แล้ว แต่การที่เราจะถ่ายทอดตัวเขาในแบบของเรา ตัวเราเองก็ได้เรียนรู้อะไรอีกเยอะ และเราก็ได้เอามันออกมาทำให้คนอื่นได้เห็นในมุมมองบางอย่างที่อาจจะแตกต่างออกไป หรือไม่ก็เป็นหนังผี อยากมีคนมาขี่คอ (หัวเราะ)
แล้วอัตชีวประวัติอยากเล่นเป็นใคร
มาย:ถ้าเมืองนอกก็อยากเล่นเป็น ปาโบล เอสโกบาร์ ถ้าเมืองไทยที่คิดออกก็คงจะ เสก โลโซ (ทั้ง 2 คนหัวเราะ) จริงๆ ใครก็ได้ครับ
Part 2 Shine & Shadow (เจาะลึกถึงตัวตนความ Shine และเงามืด)
คำว่า Shine ในความหมายของมาย-อาโป คืออะไร
อาโป:ในมุมของโปมันคือความเปล่งประกาย ในแบบของตัวเอง แล้วถ้าถามว่าตัวเองคือใคร เราตอบไม่ได้นะ เราต้องสะสมประสบการณ์รวมถึงค้นหาตัวเองไปเรื่อยๆ
มาย: เราเห็นเป็นจุดเล็กๆ ที่มันสว่างขึ้นมาจากสักที่หนึ่ง ถ้าขยายความอาจจะเป็นเหมือนเสียงๆ หนึ่งที่ตะโกนออกมาจากคนมากมาย หรือเศษหินที่บังเอิญสะท้อนกับแสง แล้วเราเห็นและเดินเข้าไปหามัน มันไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งวูบวาบใหญ่โต มันอาจจะคล้ายๆ เรื่องนี้ด้วยมั้งที่คาแรกเตอร์แต่ละตัวมันมีมุมในแบบของตัวเอง พอมารวมกัน มุมนี้ก็อาจจะเห็นแสงของคนนี้ มุมนี้ก็อาจจะแสงจากอีกคาแรกเตอร์หนึ่ง แต่พอมารวมกันเป็นเรื่อง Shine The Series มันก็คงเห็นบริบทที่หลากหลายมาก
ถ้า ‘ชาย’ คือแสงที่เปล่งประกาย…ในมุมกลับกัน มุมมืดหรือบาดแผลของ มาย-อาโป คืออะไร
มาย: ถ้าไม่มีก็คงจะไม่ใช่คน มีตอนเด็กๆ ล้มแล้วเข่าเป็นแผล ผ่าตัดเข่านี่ไงยังเป็นรอยแผลอยู่เลย (ทั้ง 2 คนหัวเราะ)
มุมมืดมีอยู่แล้วครับ แต่โชคดีที่รู้ว่ามุมมืดของตัวเองรุนแรงและลึกขนาดไหน ในแบบของเราที่เราเข้าใจ แล้วก็จัดการและควบคุมมันได้ ไม่ให้มุมพวกนั้นมันแลบออกมาทำร้ายคนรอบตัวหรือว่าตัวเราเอง ถ้าจะบอกฉันเป็นคนดีหรือฉันเข้าใจทุกอย่างคงไม่ใช่ มันยังมีมุมบางอย่างที่เราก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง แต่โชคที่เรายังพอจะมีสติที่จะจัดการมันได้
อาโป: มุมมืดของโปคือการไม่ยอมรับตัวเองในมุมต่างๆ พอเห็นมันเราก็รู้สึกว่า อ๋อ สิ่งนี้มันทำร้ายตัวเราและคนรอบข้าง และอาจจะไปทำร้ายคนอื่นด้วย แต่เมื่อโปยอมรับตัวเองในมุมต่างๆ ยอมรับว่าเรามีพฤติกรรมในมุมแบบนี้ เรามีนิสัยแบบนี้ เราทำแบบนี้ พอเรายอมรับว่าเราเป็น และเราแก้ไขมันก็เลยทำให้ Shine ขึ้นมา
มาย:แวะขายของ (หัวเราะ)
อาโป: ทุกๆ ครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลง เราจะรู้สึกว่ามันยากจัง มันเหนื่อยจัง ทำไมเราทำไม่ได้ แต่พอเราทำไปนานๆ มันก็เกิดการปรับเปลี่ยน เส้นสมองมันก็สร้างเส้นใหม่ขึ้นมา แต่ทั้งหมดนี้มันเกิดจากการที่เราจะต้องรับฟัง เปิดใจ ถ่อมตัว กับสิ่งนั้นๆ คนนั้นๆ ต้องยอมรับก่อน คิดว่าอันนี้มันคือมุมมืดที่สุด
แล้วตอนนี้เราผ่านมันมาได้หรือยัง
อาโป:จริงๆ มันกลับมาได้ตลอด มันเหมือนกับขี้ไคล ขี้ฟันที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมาตอนไหน แต่พอเรากลับบ้านไปตอนเย็นแล้วเราแปรงฟันถึงรู้ว่ามันมีอยู่ มันต้องทำตลอด มันไม่มีทางที่ทำเสร็จแล้วก็ไป เขาถึงบอกว่ามันต้อง
มาย: ถูขี้ไคล
อาโป: (หัวเราะ) ถูขี้ไคลทุกวัน เขาเรียกว่าฝึกกับมันไปทุกวัน
มาย: ผมมีมุมมองอีกอย่าง พอโปพูดเรื่องนี้มา ในส่วนตัวผมคิดว่ามันสามารถควบคุมและจัดการมุมมืดตรงนั้นให้มันเป็นจุดแข็งได้ มุมมืดคือสิ่งที่ตัวเราชอบ สันดานเราชอบ อาจจะไม่ดีกับใครสักคน แต่ถ้าเราควบคุมมันได้ เคยได้ยินเรื่องปีชงไหม ที่ต้องไปแก้ชง บางปีชงผมไม่แก้นะ เพราะผมเชื่อว่าอะไรที่มันรุนแรง มันจะทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นมันรุนแรง ไปไกลกว่าเดิม มันเหมือนเราควบคุมมุมมืดเราได้ก็อาจจะเปลี่ยนจุดนั้นมาเป็นจุดแข็ง
ปีชงเท่าที่ผมเข้าใจมันไม่ได้หมายถึงไม่ดีนะ มันคือการเห็นมุมมองว่าปีนั้นจะเกิดอะไรขึ้นรุนแรง ดีแรง แย่แรง หรืออาจจะแย่แรงสุดๆ อันนี้ก็ต้องจัดการมัน แต่เรามีมุมมองกับอะไรที่มันไม่ดีว่าเรายังมองเห็นโอกาสในนั้นนะ เหมือนเรื่องมุมมืด แต่บางคนถ้าจัดการเลยก็ดี เพราะคงอันตรายถ้าเราเอามุมมืดมาใช้ สมมติเรารู้ว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์รุนแรงมาก ก็เลือกไม่ใช้เลยก็ได้ หรือจะเลือกใช้กับการแสดงก็ได้
อาโป:อย่างโป โปเป็นคนไม่แน่ใจในตัวเองว่าเราจะควบคุมสิ่งต่างๆ ได้ไหม สมมติถ้ามันออกมาบ้างมันอาจจะไม่เวิร์ค โปเลยรู้สึกว่ามันคือมุมมืดแล้วเราจะต้องจัดการมัน
เคยมีช่วงที่รู้สึกว่าตัวเอง ‘ไม่ Shine’ บ้างไหม ผ่านมาได้อย่างไร
อาโป: ตอนที่รู้สึกไม่ Shine คือตอนที่เราไม่ยอมรับ สมมติตอนนั้นเราเลิกกับคนที่เราคุย เรามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกัน แต่เราเลิกคุยกัน มันก็เศร้า ผิดหวัง เสียใจ เจ็บปวด ท้อแท้ สิ้นหวัง แต่ว่าในตอนที่เกิดขึ้นเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเป็นอะไร เคยไหมที่อกหัก อกหักคือนิยามที่กว้างมากที่ครอบคลุมพวกนี้อยู่ เพียงแค่อกหักฟังเพลงเศร้า มันแค่นี้เอง แต่พอเราผ่านจุดนั้นมาแล้วเรามองกลับไปว่าเราผ่านจุดนั้นมาได้ไง ตอนที่เราผ่านจุดนั้นเราเริ่มค่อยๆ ยอมรับ และแยกมันเป็นส่วนๆ ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเรา เราเป็นอะไรอยู่ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วมันจะต้องไปอย่างไรต่อ บางคนอาจจะไม่สามารถวิเคราะห์มันด้วยสมองได้มันก็ต้องเขียนออกมา แล้วมันจะได้เป็นข้อย่อยๆ แบบสั้นๆ เมื่อเสร็จแล้วมันจะค่อยๆ ดีขึ้น คิดว่าช่วงจังหวะนี้มันคือจังหวะที่เราไม่ Shine เลย เพราะเราไม่ยอมรับว่าเราเป็นอะไรอยู่ พอเราไม่ยอมรับมันไม่สามารถข้ามช่วงเวลาต่างๆ มาได้ โอเคเวลาเราดีใจ เรามีความสุข มันง่าย มันมีพลัง มัน Shine แต่ตอนที่ไม่ Shine ทำอย่างไร เป็นการมองสะท้อนตัวเองอยู่เสมอ แล้วถามว่าชีวิตนี้เรายังเสียใจ เรายังผิดหวังไหม มันมีทุกวันกับทุกๆ เรื่อง อย่างถ้าวันนี้เราตื่นสายแค่นี้เราก็เจ็บปวด เฮิร์ตแล้วนะ คิดว่ามันต้องจัดการไปเรื่อยๆ ในทุกๆ วัน
มาย: อุ๊ย เยอะแยะ (หัวเราะ) มันมีอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องแบ่งให้มันชัดว่าเป็นเรื่องภายนอกหรือภายในของเรา ถ้าภายนอกมันจัดการไม่ยากหรอกก็ดูแลตัวเองให้มันดีขึ้น เวลาใครมาบอกว่าเราดูหมองจังเลย กระขึ้นหรือเปล่าพักผ่อนไม่ดี ก็ไปหาหมอให้เขาเช็คสักหน่อย วิธีการเยอะแยะ ภายนอกเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ ไม่ค่อยมีปัญหา แต่ภายในของเรานานๆ ทีจะโผล่มา เวลามันโผล่มาก็ต้องจัดการให้มันได้ เห็นด้วยกับโปว่าการที่ยอมรับมันคือสิ่งที่จะทำให้ความไม่ Shine ตรงนั้นมันหายไป ส่วนของผมมันคือการที่เรารู้สึกยึดติดกับอะไรบางอย่าง ไม่ปล่อยวาง ปล่อยไม่เป็น วางไม่เป็น มันทำให้เกิดความทุกข์
อาโป:เคยไหมเวลาดีใจแล้วหน้าตาเปล่งปลั่ง ทั้งๆ ที่อยู่ในวันเดียวกันนะ แต่พอเราเริ่มเครียดหน้าเราก็จะหมองลง ถ้าดีใจมันก็จะเปล่งปลั่งอีก มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับการพักผ่อนหรือการบำรุงหน้า แต่มันมาจากข้างใน
มาย: สุดท้ายอะไรก็ตาม ถ้ามันมีปัญหาสุดโต่งคิดอะไรไม่ออกจริงๆ มันก็ต้องเปลี่ยนบรรยากาศ หรือคุยกับตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ถ้าพูดถึง “ความ Shine” ที่ยังซ่อนอยู่ หรือยังไม่เคยได้แสดงออกมาเลยมีไหม และคืออะไร แล้วอะไรคือสิ่งที่รู้สึกว่ายังกดทับความชายนั้นของตัวเอง
อาโป:สำหรับโปคิดว่ามีอีกเยอะเลยนะ การที่โปมาถึงวันนี้แบบนี้ โปก็คิดว่ายังมีมุมต่างๆ ที่ยัง Shine ในรูปแบบต่างๆ ได้นะ อย่างเช่น โปไม่ได้เป็นคนชอบร้องเพลงนะ แต่พอได้ไปเล่นคอนเสิร์ต ได้ร้องเพลง โปรู้สึกว่าเราสามารถ Shine ที่หมายถึงการมีความสุขกับการทำสิ่งนั้นได้ เราสามารถ Shine ในแบบนี้ได้ หรือการไปร่วมงานต่างๆ ที่รู้สึกว่าเราทำได้หรอ แต่พอได้ทำก็รู้สึกได้ Shine การที่ได้ลองอะไรใหม่ๆ มันทำให้ Shine ในมุมต่างๆ ได้ เราแค่ต้องลองทำแล้วก็ยอมรับ ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ต้องยอมรับก่อนว่าเราทำไม่ได้ แล้วเราลองหรือยัง
มาย:อีกเยอะเลยครับ มาถึงตรงนี้คนก็คงตีความว่า Shine คือสิ่งที่มีเสน่ห์ อะไรที่รู้สึกว่ามีเสน่ห์ ผมว่าการเติบโตไปด้วยกันกับคนที่รักเราและเรารัก มันเป็นสิ่งที่ควรมีควบคู่อยู่กับการมีเสน่ห์ ผิดพลาดบ้าง ถูกต้องบ้าง เจอเรื่องใหม่ๆ พร้อมกันบ้าง มันคือเสน่ห์ของการใช้ชีวิต ซึ่งตรงนั้นแหละที่เราจะได้ลองสำรวจไปด้วยกัน ทั้งกับคนที่อยู่ใกล้ตัว แฟนคลับ หรือคนอื่นที่จะเจอในอนาคต ซึ่งตัวตนที่ผิดพลาดหรือตัวตนที่เป็นจุดแข็งของคนนั้น ล้วนรวมกันทำให้เป็นคนนั้น รวมถึงตัวผมด้วย การโตไปด้วยกันมันคงรอ Shine ไปเรื่อยๆ ในความคิดผมถ้าเปรียบเป็นเงิน มันไม่สวยเราก็แค่ขัดให้มันสวยขึ้น มันคงไม่ใช่มือหนึ่งอีกต่อไป แต่มันสวยในแบบของมันที่มีริ้วรอยนิดๆ หน่อยๆ
ถ้ามีใครสักคนที่กำลังอ่านบทสัมภาษณ์นี้อยู่และกำลังรู้สึกว่า ตัวเองยังไม่ Shine เพราะต้องแบกรับความคาดหวังหรือความกดดันจากคนรอบข้างอยู่ตอนนี้ มาย-อาโปอยากบอกอะไรกับเขาบ้าง
มาย:Life is life สุดท้ายชีวิตก็เป็นของเรา เราไม่ได้เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของโลกหรอกในความหมายนี้ แต่อย่าลืมว่าอย่างน้อยตัวเองก็เป็นคนตัดสินใจในทุกๆ วัน ชีวิตก็คือชีวิต คิดแค่นี้เลยครับ
อาโป:ลองย้อนกลับไปอ่านข้อที่ถามว่า มีช่วงเวลาที่ไม่ Shine ไหม เราต้องยอมรับตัวเอง เข้าใจตัวเอง เราถึงจะรู้สึก Shine หรืออย่างเช่น เรื่องเพื่อนร่วมงานไม่ดีเลย แต่เราถามตัวเองหรือยังว่า เรายอมรับไหมว่าการที่เพื่อนร่วมงานไม่ดี เขาเป็นของเขาแบบนี้แหละ
ถ้ามาย-อาโปต้องเลือกร้องเพลงหรือทำเพลงสักเพลงที่บอกเล่าเรื่องราว ‘ชาย’ ในตัวเอง เพลงนั้นจะเป็นเพลงอะไร และเพราะอะไร
มาย: ขายของเลยแล้วกันนะ (หัวเราะ) จริงๆ ถ้าเลือกเป็นตัวเราก็คงลองไปอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าแบบจับต้องได้ที่ให้ทุกคนที่อ่านอยู่ไปได้เลยก็เหมือนเพลงในเซ็ตลิสต์นี้ของ Shine The Seriesที่เป็น Original Soundtrack เพลงที่ชื่อ Dawnซึ่งจริงๆ เราต้องได้ร้องอีกเพลงหนึ่งที่เขาอยากให้ร้อง มันเป็นเพลงสนุกสนาน แต่ว่าตัวตน รสนิยม และความคิดเรามันตรงกับเพลงนี้มากๆ ก็เลยเลือกที่จะเอาเพลงนี้มาร้อง ถ่ายทอดออกไปในแบบของเรา Dawn ที่แปลว่ารุ่งอรุณมันก็เป็นเพลงที่น่าจะทำให้ทุกคนเข้าใจในเรื่องของทุกอย่างมันจะดีขึ้น อย่างที่บอกอะไรที่มันแย่ๆ สุดท้ายมันก็จะผ่านไป แต่ความ Shine มันมีความหลากหลาย มันจบที่เพลงๆ เดียวไม่ได้
อาโป:โปอยากทำเพลงและซาวด์ที่ให้กำลังใจผู้คน อย่างเพลงที่โปชอบเพลงหนึ่งก็คือ Far Side Of The Moonมันขึ้นท่อนแรกว่า
‘Never question it then you’ll never know
On the far side of the moon
Where the unknown hums a song that’s just for you’
‘ถ้าไม่ตั้งคำถามก็ไม่มีวันได้รู้
ด้านที่อีกไกลของพระจันทร์
มันคือที่ซึ่งใครสักคนกำลังบรรเลงเพลงที่เขียนมาเพื่อเธอคนเดียว’
มาย: ประมาณว่าถ้าไม่เคยลองก็ไม่รู้ ไม่เคยผิดพลาดก็ไม่โต ไม่ได้ลงมือทำ ไม่ได้ออกจาก comfort zone เราจะโตได้อย่างไร แค่คิดคงไม่ได้ แค่กลัวเสียใจก็ไม่ได้มีความสุขหรอก ก็จงอยู่ในจินตนาการต่อไป Far Side Of The Moon คือเรื่องพวกนั้น ลองไปในที่ที่ใหม่ที่ไม่เคยไป แล้วเราจะเติบโต
อาโป:อย่าเชื่อตัวเองถ้าเกิดยังไม่เคยไป
มาย:ไม่ลองไม่รู้อะ ชอบแซวว่า พี่มายกินกบ (อาโปหัวเราะ) ลองกินดูดิมันอร่อยนะ
อาโป:(หัวเราะ) เคยกินแล้วมันเหมือนไก่ แต่กินอึ่งนี่ไม่แน่ใจ
มาย:อร่อยๆๆ (หัวเราะ)