‘จักรภพ’ ยอมรับถูกทาบทามนั่ง ‘โฆษกรัฐบาล’ ยันเคลียร์คดีหมดแล้ว
เมื่อวันที่ 5 ก.ค. นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวที่ว่าได้รับการเสนอชื่อให้กลับมารับตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ว่า มีการทาบทามจริง และตัดสินใจร่วมกับครอบครัว และเพื่อนฝูงว่าควรจะกลับสู่การเมืองหรือไม่ อย่างไร ซึ่งใจอยู่กับการเมืองอยู่แล้ว เพราะประเทศชาติเราทิ้งไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นในนามพรรค หรือในนามส่วนตัวก็ตาม แต่เราก็คิดถึงเรื่องอื่นๆ ที่เราจะทำประโยชน์ได้ ซึ่งคิดว่าจะกลับเข้าการเมืองนั้น ก็คงแน่นอน ส่วนจะเป็นตำแหน่งหน้าที่ไหน ก็สุดแล้วแต่รัฐบาลจะเห็นสมควร
เมื่อถามว่ากระแสข่าวระบุว่ามีการกรอกประวัติ และตรวจสอบคุณสมบัติส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง การกรอกประวัติแบบคณะรัฐมนตรีนั้นไม่ได้มี แต่สิ่งที่เป็นความจริงคือ มีการโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาเพื่อสอบประวัติ เรื่องคดีความที่เคยมีมาในอดีต ทั้งคดีการเมืองและคดีต่างๆ ว่ายังค้างอยู่หรือไม่ ที่เป็นอุปสรรคในการเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง เราก็ส่งไปให้ เพราะอยากให้คนรู้ว่าเราเคลียร์เรื่องนี้ ไม่ใช่เพื่อที่จะรับตำแหน่ง ตนย้ำว่าไม่มีคดีเหลืออยู่แล้ว มีเพียงแค่จะเข้าสู่การเมืองในจังหวะไหน
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต ตอนนี้เคลียร์หมดแล้วใช่หรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า หมดแล้ว ไม่มีแล้ว และมีหนังสือราชการที่ยืนยันจากหน่วยราชการ โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานอัยการสูงสุด
นายจักรภพ กล่าวอีกว่า ตนรู้สึกดีใจที่มีกระแสข่าวนี้เกิดขึ้น เพราะส่วนตัวตั้งใจว่าตั้งแต่กลับมาประเทศไทย จะทำตัวให้มีประโยชน์ต่อส่วนรวม ซึ่งไม่ได้เป็นแค่เรื่องการเมือง แต่ในเรื่องอื่นก็ได้ เพียงแต่เราชอบการเมือง และติดตามอย่างใกล้ชิด ก็มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่การเมือง พูดง่ายๆ คือรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาส ส่วนจะทำประโยชน์ได้แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับสังคมจะตัดสิน
เมื่อถามว่ากระแสข่าวที่เกิดขึ้นเนื่องจากรัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงที่วิกฤติ และพรรคเพื่อไทยก็มีกระแสความนิยมตกลง จึงอยากให้เข้ามาเร่งกู้ศรัทธาในเรื่องของการสื่อสารใช่หรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ความเสื่อมนั้นมีจริง แต่สิ่งที่รัฐบาลโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยจะต้องทำเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ประชาชนยอมรับในระดับเดิม จะต้องออกแรงสูง มีความขยันขันแข็ง ตนก็มีความตั้งใจเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามนี้ ส่วนจะได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่ว่าประชาชนจะตัดสินจากการเลือกตั้ง
นายจักรภพ กล่าวต่อว่า เท่าที่ตนมอง รัฐบาลน่าจะมีการปรับปรุงการสื่อสารได้ดีขึ้น ถามว่าทำอย่างไรคือ ข่าวที่ออกมาจากรัฐบาลน่าจะน้อยเกินไป อย่างเรื่องมติ ครม. ที่ออกมามีหลาย 10 เรื่อง แต่ว่าข่าวออกไปเพียงไม่กี่มติ คนทั้งประเทศก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลทำอะไรบ้าง หน้าจอสื่อก็มีแต่เรื่องการเมืองเป็นหลัก ไม่มีเรื่องนโยบายที่มีผลกระทบต่อประชาชนเลย, รัฐบาลต้องทำให้คนรู้ว่ารัฐบาลเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น ตอนนี้เศรษฐกิจหนักมาก ทุกคนทุกอาชีพรู้สึกหมด ตรงนี้รัฐบาลจะต้องสื่อสารให้คนรู้ว่ารัฐบาลอยู่ข้างประชาชน และเรื่องของการต่างประเทศ ประเทศไทยไม่ได้อยู่เฉพาะตัวคนเดียว มีปัญหาเรื่องกัมพูชา และมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา เราก็ต้องมีการทำงานร่วมกับสื่อต่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อให้ข่าวของเราออกไป มีโอกาสได้ชี้แจงข้อเข้าใจผิดต่างๆ เหมือนเรื่องการท่องเที่ยวจีน ที่ยอดตกไป 40 เปอร์เซ็นต์ คนของเขาเดือดร้อน เพราะเขาตั้งธุรกิจมารองรับจีนโดยเฉพาะ เราต้องใช้การสื่อสารดึงกลับมา
เมื่อถามว่าวิกฤติของรัฐบาลขณะนี้มีทั้งศึกนอกศึกใน ซึ่งตัวนายจักรภrถูกผู้เห็นต่างทางการเมืองโจมตีมาตั้งแต่แรก หากจะหวนกลับสู่ตำแหน่งทางการเมือง ไม่กังวลใช่หรือไม่ว่าจะเป็นสายล่อฟ้าให้รัฐบาล นายจักรภพ กล่าวว่า ก็พยายามจะไม่ให้เป็น ครั้งเมื่อตอนที่ตนรับตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลก่อน ช่วง 16-17 ปีมาแล้ว ตนก็เป็นสายล่อฟ้าเหมือนกัน คราวนี้คงจะพยายามไม่ให้เป็นด้วยการเลี่ยงพูดเรื่องส่วนตัว จะเอางานของรัฐบาลออกมาให้ข้อมูล อีกทั้งยังมีทีมงาน ทั้งผู้ช่วยโฆษก รองโฆษก และเจ้าหน้าที่อีกหลายฝ่าย แม้กระทั่งผู้รับผิดชอบในแต่ละงานก็จะเชิญมาร่วมด้วย เพราะการสื่อสารของรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องผ่านโฆษกอย่างเดียว
ผู้สื่อข่าวถามว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ทาบทามให้กลับมามีตำแหน่งทางการเมืองอีกครั้งใช่หรือไม่ เพราะนายจักรภพเคยช่วยงานในสมัยรัฐบาลของนายทักษิณ จึงอยากให้มาช่วยงานลูกสาว นายจักรภพ กล่าวว่า นายทักษิณก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มาพูดคุยเรื่องนี้ด้วยกัน แต่ก็มีคนอื่นด้วย เพราะเป็นงานในส่วนรวม ตนยอมรับว่ามีความใกล้ชิดกับนายทักษิณ โดยเฉพาะในช่วงที่โดนโจมตีมากๆ มีคดีความอะไรรุมเร้า จึงมีความรู้สึกว่าช่วยอะไรได้ก็อยากจะช่วย เพราะตนก็อยู่ในสมัยที่นายทักษิณเป็นผู้นำในรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย มีโครงการใหม่เกิดขึ้น ทำให้ประเทศไทยไปในทางที่ดีขึ้น เราก็ไม่อยากให้ทุกอย่างนั้นจบลงด้วยความไม่เข้าใจ หรือด้วยความรู้สึกที่ว่าพอต่างรุ่นไปแล้วผลงานเหล่านี้ก็ถูกลืม