เกมแล้ว! จับ ‘ผู้กำกับ’ กองร้อยปอยเปต หัวหน้าสายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งเขมร

เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่ บช.สอท. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว “รวบ 2 แก๊งคอลปอยเปต ตั้งฐานบนกาสิโนในเขมร อ้างเป็นผู้กำกับ โทรฯ ขู่เหยื่อโอนเงิน เผยเคยโดนบังคับหลอกเหยื่อได้สูงสุดถึง 12 ล้านบาท” โดยออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีจำนวน 76 ราย จับกุมตัวได้แล้ว จำนวน 46 ราย รวมผู้ต้องหารายสำคัญกลุ่มดังกล่าว คือ นายสมศักดิ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี (ทำหน้าที่หัวหน้าสาย 2) จับกุมได้ที่ซอยเชิงทะเล 14 ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต และนายวราเมธ (สงวนนามสกุล) อายุ 20 ปี (ทำหน้าที่หัวหน้าสาย 3 อ้างตัวเป็นผู้กำกับสถานีตำรวจ) จับกุมได้ในพื้นที่ ต.ต้นเปา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่

พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ เปิดเผยว่า จากการสืบสวนสอบสวน พบผู้เสียหายรายหนึ่งถูกติดต่อจากบุคคลใช้ภาพโปรไฟล์หน้าตาดีผ่านโซเซียล จากนั้นได้พูดคุยกันจนเกิดความสนิทสนมและชอบพอกัน ต่อมาจึงหลอกให้โอนเงิน อ้างว่านำไปลงทุนคริปโตเคอร์เรนซี ผู้เสียหายเกิดหลงเชื่อจึงโอนเงินไป จำนวน 147 ครั้ง ไปยังบัญชีม้า 79 บัญชี ความเสียหายรวมเป็นเงิน 308,204,326.5 บาท

กรณีดังกล่าว มีประเด็นที่น่าสนใจ คือเจ้าหน้าที่ยังพบพยานหลักฐานว่า ผู้ต้องหาตามหมายจับกลุ่มดังกล่าว เป็นผู้ร่วมขบวนการแก๊งคอลฯ ซึ่งเป็นองค์กรใหญ่ มีผู้ร่วมขบวนการกว่า 100 คน โดยมีชาวจีนเป็นหัวหน้า มีฐานที่ตั้งอยู่ที่ ภูลิกาสิโน (Pu Li Casino) ตั้งอยู่ในเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับผู้ทำหน้าที่ต่าง ๆ ในแก๊งคอลฯ กลุ่มดังกล่าว รวมจำนวน 44 ราย โดยแบ่งเป็น ผู้ทำหน้าที่สาย 1 (ติดต่อผู้เสียหาย หลอกลวง ตามบทที่ได้รับ) จำนวน 20 ราย จับกุมได้แล้ว จำนวน 6 ราย, ผู้ทำหน้าที่สาย 2 (สนทนาตอกย้ำ สร้างความมั่นใจให้ผู้เสียหายหลงเชื่อแบบสนิทใจต่อจากสาย 1 อ้างเป็นร้อยเวร หรือเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ) จำนวน 11 ราย จับกุมได้แล้ว จำนวน 2 ราย, ผู้ทำหน้าที่ สาย 3 (ปิดเกม สั่งผู้เสียหายให้โอนเงิน โดยอ้างตัวเป็นหัวหน้าของหน่วยงานที่แอบอ้าง เป็นผู้กำกับสถานีตำรวจของร้อยเวรในสาย 2) จำนวน 7 ราย จับกุมได้แล้ว จำนวน 2 ราย และผู้ที่ทำหน้าที่สนับสนุนด้านอื่น ๆ (ทำหนังสือราชการปลอม ทำหมายปลอม จัดหาซิมผี จัดหาบัญชีม้า) จำนวน 6 ราย จับกุมได้แล้ว 2 ราย

จากการสอบถาม นายวราเมธ ผู้ต้องหาทำหน้าที่สาย 3 ยอมรับว่า ตนได้ค่าตอบแทนประมาณ 25,000 บาทต่อเดือน และค่าคอมมิชชั่น 3.5 เปอร์เซ็นต์ แต่หากไม่เอาเงินเดือน จะได้ 6.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งช่วงหลังตนรับแค่ค่าคอมมิชชั่น นอกจากนี้ นายวราเมธ ยังอ้างว่า ตนถูกหลอกลวงมาและโดนบังคับให้ทำงาน อีกทั้งยังโดนยึดอุปกรณ์สื่อสารและเอกสารประจำตัวตั้งแต่มาที่ ภูลิกาสิโน หลังจากนั้นเริ่มทำงานเป็นแก๊งคอลฯ เริ่มจากสายหนึ่งจนกระทั่งมาสายสาม โดยตนเคยหลอกลวงเหยื่อให้โอนเงินได้มากสุดถึง 12 ล้านบาท ซึ่งหากไม่ทำงานจะโดนข่มขู่และทำร้ายร่างกาย ทำให้ตนจำใจต้องยอมทำงานหลอกลวงผู้อื่น

ด้าน นายสมศักดิ์ ผู้ต้องหาทำหน้าที่สาย 2 ยอมรับว่า ตนถูกหลอกให้ไปทำงาน แล้วโดนบังคับเป็นแก๊งคอลฯ เช่นเดียวกัน ซึ่งเคยอ้างตัวเป็น “ร้อยตำรวจโทพีระ” ต่อมาหลบหนีออกจาก ภูลิกาสิโน แล้วโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจของประเทศกัมพูชาจับกุมตัวได้ ติดคุกอยู่กัมพูชา 14 วัน จึงถูกส่งกลับประเทศไทย

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อหา “ร่วมกันอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน สมคบกันโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน” ก่อนส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า ยังไม่ปักใจเชื่อว่าผู้ต้องหาถูกหลอก เนื่องจากมีการกระทำความผิดมาหลายครั้ง ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดให้ได้ก่อน