DeepMind พลิกโฉมวงการประวัติศาสตร์ใช้ AI ถอดรหัสจารึกโรมันโบราณ
โปรแกรม Aeneas ที่พัฒนาโดย DeepMind กำลังทำสิ่งที่ช่วยเหลืองานด้านประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ด้วยการคาดเดา พร้อมกับถอดรหัสภาษาละตินโบราณ เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปของเหตุการณ์ในอดีต
จักรวรรดิโรมันซึ่งเคยมีความสำคัญในอดีตเพราะจักรวรรดิแห่งนี้เคยสรรค์สร้างระบบสาธารณูปโภค การแพทย์ การศึกษา และถนนหนทางอันเลื่องชื่อแล้ว นอกเหนือจากนั้นแล้วชาวโรมันยังได้ทิ้งจารึกโบราณจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นบันทึกประวัติศาสตร์โดยตรงที่หาค่ามิได้ อย่างไรก็ดี การถอดความต่างๆ พร้อมกับปะติดข้อความที่แตกหัก พร่าเลือนไปตามกาลเวลาถือเป็นเรื่องยากของนักวิชาการมาโดยตลอด
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างง่ายขึ้น เมื่อ DeepMind บริษัทในเครือกูเกิลได้เปิดตัวเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ที่มีชื่อว่า Aeneas (อีเนียส) หนึ่งในตัวละครที่อยู่ในตำนานปกรณัมกรีก และเป็นผู้วางรากฐานก่อนที่จะเกิดการก่อตั้งกรุงโรมในอีกหลายร้อยปีให้หลัง โดยเครื่องมือนี้มีความสามารถในการวิเคราะห์และคาดการณ์ว่าจารึกละตินโบราณนั้นถูกสร้างขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ พร้อมทั้งเสนอคำที่น่าจะเป็นไปได้เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปที่เลือนไปตามกาลเวลา
นักประวัติศาสตร์ที่ได้ทดลองใช้งาน Aeneas ยอมรับว่า มันสามารถช่วยงานนักวิชาการได้จริง เพราะมันช่วยให้การค้นหาจารึกอื่นๆ ที่มีความเชื่อมโยงกันทำได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจบริบทของข้อความนั้นๆ และยังช่วยเสนอคำศัพท์ที่มาต่อเติมช่องว่างที่หายไปของโบราณวัตถุจากการสึกกร่อนได้ตรงตามหลักวิชาการ
จารึกโบราณคือหนึ่งในหลักฐานเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนในโลกยุคเก่าที่สำคัญที่สุด ซึ่งมีตั้งแต่จารึกขนาดใหญ่บนกำแพงอนุสรณ์สถาน ไปจนถึงประกาศจากจักรพรรดิ ข้อความการเมือง กลอนรัก และคำอาลัยบนหลุมศพ สิ่งที่ทำให้จารึกเหล่านี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือการที่มันถูกเขียนขึ้นโดยคนในยุคนั้นเอง จากทุกชนชั้นทางสังคม ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยผู้ชนะ แต่ปัญหาหลักคือจารึกประเภทนี้ ส่วนใหญ่มักแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หรือถูกกาลเวลาทำลายจนข้อความบางส่วนไม่สามารถอ่านได้ อีกทั้งวัตถุจารึกจำนวนมากยังกระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ ทำให้การระบุต้นกำเนิดเป็นเรื่องยากมาก
ยานนิส อัสซาเอล หนึ่งในทีมผู้พัฒนา DeepMind ได้ทำงานร่วมกับนักประวัติศาสตร์เพื่อสร้าง AI ที่จะมาเป็นผู้ช่วยในกระบวนการวิจัยนี้ เบื้องหลังความสามารถของ Aeneas คือการฝึกฝนด้วยฐานข้อมูลขนาดมหึมาที่ประกอบด้วยจารึกที่รู้จักแล้วเกือบ 200,000 ชิ้น รวมเป็นตัวอักษรกว่า 16 ล้านตัว เมื่อป้อนข้อความหรือรูปภาพของจารึกเข้าไป Aeneas จะใช้ข้อมูลที่ได้เรียนรู้มาเพื่อสร้างรายการจารึกอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้อง โดยไม่ได้เป็นเพียงการค้นหาคำที่เหมือนกัน แต่ AI สามารถระบุและเชื่อมโยงจารึกต่างๆ ผ่านความสัมพันธ์เชิงประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งกว่า
ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าน่าสนใจเพราะ Aeneas สามารถระบุได้ว่าจารึกชิ้นนั้นๆ น่าจะมาจาก 1 ใน 62 จังหวัดของอาณาจักรโรมัน และประเมินช่วงเวลาที่สร้างขึ้นด้วยความแม่นยำคลาดเคลื่อนเพียงประมาณ 13 ปีเท่านั้น
ในการทดสอบหนึ่ง Aeneas ได้วิเคราะห์จารึก Res Gestae Divi Augusti ซึ่งเป็นบันทึกความสำเร็จของจักรพรรดิออกุสตุส ปรากฏว่า AI ได้เสนอช่วงเวลาที่เป็นไปได้ 2 ช่วง คือ ทศวรรษแรกก่อนคริสตกาล หรือระหว่างปี ค.ศ. 10 ถึง 20 ซึ่งผลลัพธ์นี้สะท้อนถึงข้อถกเถียงในปัจจุบันของนักวิชาการ อีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจ คือการวิเคราะห์แท่นบูชาจากเมืองไมนซ์ในเยอรมนี Aeneas สามารถเผยให้เห็นถึงความเชื่อมโยงทางภาษาศาสตร์ที่ละเอียดอ่อน ซึ่งแสดงให้เห็นอิทธิพลจากแท่นบูชาอีกแห่งที่เก่าแก่กว่าในภูมิภาคเดียวกัน
เครื่องมือนี้ไม่ใช่แค่สิ่งประดิษฐ์ในห้องทดลอง แต่เปิดให้นักวิจัยใช้งานได้จริงแล้วทางออนไลน์
ที่มา: DeepMind
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : DeepMind พลิกโฉมวงการประวัติศาสตร์ใช้ AI ถอดรหัสจารึกโรมันโบราณ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ChatGPT และ DeepMind คว้าเหรียญทองโอลิมปิก คณิตศาสตร์ สนามยากสุด IMO
- DeepMind พลิกโฉมวงการประวัติศาสตร์ใช้ AI ถอดรหัสจารึกโรมันโบราณ
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath