โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

บทบาทใหม่ของ AI เมื่อแบรนด์ใช้สังเกตคน

Amarin TV

เผยแพร่ 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา
AI เทคโนโลยีที่พร้อมรับฟังทุกเรื่องราวและอยู่เคียงข้างผู้คนในยามที่ต้องการ สำหรับบางคนมันกลับทำหน้าที่เสมือน “ผู้ฟัง” ที่มั่นคงและปลอดภัยที่สุด

คู่สนทนาที่เราไว้ใจ: บทบาทใหม่ของ AI ในโลกที่เปราะบาง

ในยุคสมัยที่ความซับซ้อนของสังคมและความท้าทายในชีวิตประจำวันถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อสภาวะจิตใจของผู้คนอย่างยากจะหลีกเลี่ยง การแสวงหา “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับระบายความรู้สึก ความวิตกกังวล หรือแม้กระทั่งความเปราะบางในใจ จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นมากขึ้นกว่าเดิมทว่าท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย คู่สนทนาที่หลายคนเลือกพึ่งพาในวันนี้ กลับไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพื่อนสนิท ครอบครัว หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตอีกต่อไป แต่กลายมาเป็น AI เทคโนโลยีที่พร้อมรับฟังทุกเรื่องราวและอยู่เคียงข้างผู้คนในยามที่ต้องการ แม้จะเป็นเพียงข้อความที่โต้ตอบผ่านหน้าจอ แต่สำหรับบางคนมันกลับทำหน้าที่เสมือน “ผู้ฟัง” ที่มั่นคงและปลอดภัยที่สุด

สิ่งที่ผลักดันให้ AI ก้าวขึ้นมาสู่บทบาทคู่สนทนาที่ได้รับความไว้วางใจ เกิดจากคุณสมบัติหลักที่ตอบโจทย์ความต้องการทางใจของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง ประการแรกคือความเป็นกลางทางอารมณ์และการไม่ตัดสิน ที่ทำให้ผู้ใช้งานกล้าเปิดเผยเรื่องราวส่วนลึกที่สุด โดยไม่ต้องหวั่นเกรงต่อสายตาหรือการถูกประเมินจากผู้อื่น ถือเป็นการสร้างสภาวะของพื้นที่ปลอดภัยทางใจอย่างแท้จริงประการต่อมาคือความรวดเร็วและความพร้อมในการตอบสนอง ซึ่งช่วยลดข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ที่มักเกิดขึ้นกับคู่สนทนาที่เป็นมนุษย์ และด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง AI ในหลายแพลตฟอร์มเริ่มมีศักยภาพในการประเมินสถานการณ์เบื้องต้น วิเคราะห์อารมณ์ และเสนอแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละบุคคล คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยเติมเต็มช่องว่างของการดูแลสุขภาพจิตในยุคดิจิทัล และกลายเป็นทางเลือกสำคัญของผู้คนในโลกที่ความเปราะบางทางใจเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้นทุกวัน

ศักยภาพที่เหนือกว่าการรับฟัง: เมื่อ AI กลายเป็น “ผู้สังเกต”

ทว่าพลังของเทคโนโลยีอาจไม่ได้หยุดอยู่เพียงบทบาทของการเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้คนพักพิงทางใจ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหาก AI ก้าวไปไกลกว่านั้น จาก “ผู้รับฟัง” สู่การเป็น “ผู้สังเกต” ที่สามารถตรวจจับสัญญาณความเสี่ยงที่อาจอยู่เหนือความสามารถที่มนุษย์จะรับรู้ได้ และยื่นมือเข้าช่วยเหลือในวินาทีวิกฤต

ในบทความนี้ จะพาทุกคนไปเปิดมุมมองใหม่ว่า AI อาจมีบทบาทมากกว่าที่เคยคาดคิด ในฐานะผู้ช่วยที่คอยสนับสนุนมนุษย์ในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุด ผ่านสองกรณีศึกษาดังต่อไปนี้

HEALING HANDKERCHIEF: เมื่อ AI สังเกต “สัญญาณความเจ็บปวด”

VML & OGILVY JAPAN, Tokyo / PLAY SPACE / 2024

VML & OGILVY JAPAN, Tokyo / PLAY SPACE / 2024

บริบทและความท้าทาย: การเก็บรักษาประวัติศาสตร์บนความเปราะบาง

ในวาระที่เหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่าล่วงเลยมาเกือบ 8 ทศวรรษ จำนวนของประจักษ์พยานผู้รอดชีวิตลดน้อยลงทุกขณะจากช่วงวัยที่สูงขึ้น องค์กรการศึกษาเพื่อสันติภาพในพื้นที่อย่าง PLAY SPACE จึงเผชิญกับภารกิจเร่งด่วนในการเก็บรวบรวมประวัติศาสตร์บอกเล่าจากบุคคลเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญที่สุดมิใช่เพียงการแข่งขันกับเวลา แต่คือ บาดแผลทางใจที่ฝังลึกของผู้รอดชีวิต ซึ่งมักจะถูกกระตุ้นให้เจ็บปวดซ้ำเมื่อต้องหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ท่ามกลางข้อจำกัดด้านทรัพยากรในฐานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรขนาดเล็ก PLAY SPACE จึงจำเป็นต้องแสวงหาวิธีแก้ปัญหาที่เข้าถึงแก่นของปัญหาโดยตรงและคุ้มค่าที่สุด

เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดดังกล่าวPLAY SPACE ได้ร่วมมือกับ VML & OGILVY JAPAN ในการพัฒนาโครงการ “Healing Handkerchief” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยน“ผ้าเช็ดหน้า” วัตถุใกล้ตัวที่ผู้สูงวัยคุ้นเคยให้กลายเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะที่สามารถเก็บข้อมูลชีพจร อุณหภูมิผิว และการหลั่งเหงื่อของผู้เล่าได้อย่างแนบเนียน โดยไม่สร้างความวิตกกังวล

ข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งแบบเรียลไทม์ไปยังสมาร์ทโฟนของผู้สัมภาษณ์ที่พัฒนาร่วมกับนักจิตวิทยาและนักบำบัดจากมหาวิทยาลัยจะทำหน้าที่วิเคราะห์สภาวะจิตใจของผู้รอดชีวิต หาก AI ตรวจจับได้ถึงความเครียดหรือความตึงเครียดที่สูงเกินไป ระบบจะเสนอแนะคำถามที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้ผู้เล่าสงบลง หรือแนะนำให้หยุดการสัมภาษณ์ชั่วคราว ระบบนี้จึงเปรียบเสมือนผู้ช่วยนักจิตวิทยาที่ทำให้นักเรียนหรืออาสาสมัครผู้ไม่มีความรู้เฉพาะทางก็สามารถทำการสัมภาษณ์ได้อย่างปลอดภัยและเปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ

โครงการ“Healing Handkerchief” ไม่เพียงประสบความสำเร็จในการสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิตกว่า 50 ท่าน และรวบรวมเรื่องราวที่ไม่เคยถูกเปิดเผยที่ไหนมาก่อนได้อย่างราบรื่น แต่ยังได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากผู้เข้าร่วมถึง 98% ที่สำคัญที่สุดคือ โครงการนี้ได้สร้างความตระหนักรู้ต่อปัญหาบาดแผลทางใจของผู้รอดชีวิตให้เพิ่มขึ้นถึง 85% และได้รับแรงสนับสนุนจากบริษัทท้องถิ่นกว่า 30 แห่ง ความสำเร็จดังกล่าวได้จุดประกายให้สื่อในฮิโรชิม่าหันมาให้ความสนใจและจัดแสดงนิทรรศการเรื่องราวที่รวบรวมได้ในเดือนสิงหาคม 2024 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 80 ปีของเหตุการณ์โศกนาฏกรรม

UNDERCOVER: เมื่อ AI สังเกต “สัญญาณความรุนแรง”

OGILVY, Hong Kong / WOMEN HELPING WOMEN ASIA / 2024

OGILVY, Hong Kong / WOMEN HELPING WOMEN ASIA / 2024

บริบทและความท้าทาย: เมื่อความรุนแรงในบ้านไร้พยาน

ในฮ่องกง ปัญหาความรุนแรงทางเพศยังคงเป็นประเด็นที่ฝังรากลึกและมักถูกมองข้ามจากความไม่เท่าเทียมทางสังคม การทารุณกรรมไม่ว่าจะในรูปแบบใดมักเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดและเกิดขึ้นในครัวเรือนหลังประตูที่ปิดสนิท ทำให้การหาหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อดำเนินคดีเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง ทว่าท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้ายนั้น ยังมี “พยานเงียบ” ที่อยู่ในเหตุการณ์เสมอ นั่นคือโทรศัพท์มือถือ

จากความท้าทายนี้ องค์กร Women Helping Women Asia จึงได้ร่วมมือกับ OGILVY Hong Kong เพื่อเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือให้กลายเป็นพยานผู้สังเกตการณ์ ด้วยการสร้างสรรค์แอปพลิเคชันที่สามารถเก็บรวบรวมหลักฐานสำคัญเพื่อต่อสู้กับความอยุติธรรม หัวใจของแอปพลิเคชัน “Undercover” คือการใช้ AI เพื่อเปลี่ยนคำพูดของผู้กระทำผิดให้กลายเป็นหลักฐานมัดตัวเอง

ทีมผู้พัฒนาได้ฝึกฝน AI ให้สามารถจดจำวลีและคำพูดที่เป็นดั่งสัญญาณอันตรายซึ่งมักถูกใช้ก่อนการทำร้ายร่างกาย โดยเมื่อแอปพลิเคชันตรวจจับคำพูดดังกล่าวที่ดังเกิน 90 เดซิเบล ระบบจะเริ่มบันทึกเสียงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตามมาโดยอัตโนมัติและอย่างลับ ๆ ยิ่งไปกว่านั้น หาก AI ประเมินว่าสถานการณ์กำลังทวีความรุนแรงขึ้น ระบบจะส่งสัญญาณเตือนฉุกเฉินไปยังบุคคลที่เหยื่อไว้วางใจทันที เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที

ปัจจุบัน แอปพลิเคชันนี้กำลังถูกส่งต่อไปยังผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริงผ่านเครือข่ายองค์กรพันธมิตร 6 แห่งที่ทำงานด้านการต่อต้านความรุนแรงทางเพศโดยตรง แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่เสียงตอบรับจากองค์กรพันธมิตรก็เป็นไปในเชิงบวกอย่างท่วมท้น แม้แอปฯ ในเวอร์ชันแรกจะออกแบบมาเพื่อตลาดฮ่องกงโดยเฉพาะ แต่ทีมผู้พัฒนามีแผนที่จะขยายขีดความสามารถทางภาษาเพื่อเข้าถึงและให้ความช่วยเหลือผู้หญิงในภูมิภาคอื่น ๆ ต่อไปในอนาคตอันใกล้

ความจริงที่ไม่ได้ถูกพูดออกมา ไม่ได้แปลไม่สมควรถูกรับรู้

แม้จะมาจากบริบทที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่หัวใจสำคัญที่สองกรณีศึกษานี้มีร่วมกัน คือ การยกระดับ AI สู่บทบาท "ผู้สังเกต” ซึ่งมีหน้าที่หลักคือการรับรู้ความจริงที่ไม่ได้ถูกพูดออกมาตรง ๆ ความจริงนั้นอาจปรากฏในรูปแบบของปฏิกิริยาทางกายที่ส่งสัญญาณความเจ็บปวดจากบาดแผลในอดีต หรืออาจเป็นเสียงแห่งความรุนแรงในครอบครัวที่ดังขึ้นหลังประตูที่ปิดสนิท ความจริงทั้งสองรูปแบบนี้ อาจไม่ถูกรับรู้เลยก็เป็นได้หากปราศจากการใช้ AI ดังนั้น บทบาทของ AI ในวันนี้จึงไม่ใช่แค่เครื่องมือประมวลผลข้อมูลแต่สามารถทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตที่เข้ามาเติมเต็มในจุดที่มนุษย์อาจก้าวไปไม่ถึง นี่คือภาพสะท้อนของอนาคตที่เทคโนโลยีและมนุษยธรรมไม่ได้เดินทางสวนทางกัน แต่ผสานรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อสร้างสังคมที่สงบสุขและปลอดภัยสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง

บทเรียนสำหรับแบรนด์: สร้างความผูกพันผ่านการฟังและการสังเกตผู้บริโภค

สองกรณีศึกษาข้างต้นนี้ เป็นภาพสะท้อนของยุคสมัยที่ผู้คนต้องเผชิญกับความเปราะบางทางใจมากขึ้น ทำให้ความต้องการ “ใครสักคน” ที่พร้อมรับฟังและสังเกต จึงกลายเป็นความปรารถนาพื้นฐานที่หลายคนโหยหา ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยีก็ได้เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อผู้คนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะมอบความไว้วางใจให้ AI ทำหน้าที่เป็นคู่สนทนาส่วนตัว

สำหรับแบรนด์และธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภคด้วยความเข้าอกเข้าใจอย่างแท้จริง หัวใจสำคัญคือการเปลี่ยนจากการสื่อสารที่มุ่งนำเสนอสิ่งที่แบรนด์อยากพูด ไปสู่การสร้างบทสนทนาที่เริ่มต้นจากการรับฟังสิ่งที่ผู้คนอยากถ่ายทอด โดยมี AI เป็นผู้ช่วยที่ทำให้การรับฟังและสังเกตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดยสิ่งที่แบรนด์และธุรกิจสามารถถอดบทเรียนได้จากสองกรณีศึกษานี้ สามารถสรุปเป็นข้อคิดเชิงกลยุทธ์เพื่อการสร้างความผูกพันกับผู้บริโภคอย่างยั่งยืนได้ 4 ประการ ดังนี้

1. เปลี่ยนจาก “ผู้พูด” สู่ “ผู้ฟังและสังเกต”

ในยุคที่ผู้บริโภคถูกรายล้อมด้วยเสียงรบกวนจากสารพัดแบรนด์ที่แข่งขันกันแย่งชิงความสนใจ การส่งเสียงให้ดังกว่าเดิมอาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป โอกาสทางธุรกิจที่แท้จริงกลับซ่อนอยู่ในการสร้างพื้นที่ ที่แบรนด์เลือกจะฟังและสังเกตอย่างตั้งใจ แทนที่จะเริ่มต้นด้วยการขาย

2. ร่วมมือกับ AI ด้วยรากฐานของความ “ความเข้าอกเข้าใจ”

การที่ผู้คนกล้าเปิดใจกับ AI สะท้อนว่าเทคโนโลยีสามารถเป็นสื่อกลางที่ไร้อคติและไม่ตัดสินได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบรนด์จึงสามารถใช้ศักยภาพในการรับฟังและสังเกตอย่างลึกซึ้งของ AI สร้างพื้นที่ให้ผู้บริโภคถ่ายทอดความรู้สึก ความคาดหวัง หรือแม้แต่ความกังวลที่ลึกที่สุดได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่การเก็บข้อมูลแบบเดิมอาจไม่สามารถเข้าถึงได้

3. เปิดเผย “ความจริงที่ไม่ได้ถูกพูด”

คุณค่าที่แท้จริงของการฟังและสังเกตผ่าน AI ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณข้อมูลที่ได้รับ แต่คือการเข้าถึงความจริงที่ไม่ได้ถูกพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นความต้องการที่ลึกซึ้ง หรือความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ ซึ่งผู้บริโภคอาจไม่เคยเอ่ยถึงหรือแม้แต่ไม่รู้ตัว ข้อมูลที่บริสุทธิ์และไม่ผ่านการกรองเหล่านี้ คือข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และการสื่อสารที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง

4. เปลี่ยน “ธุรกรรม” เป็น “ความผูกพัน”

ผลลัพธ์สำคัญของ Empathy-based marketing ที่เริ่มต้นจากการเป็นผู้รับฟัง คือการได้รับ Brand Love หรือความผูกพันทางอารมณ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค เมื่อแบรนด์แสดงให้เห็นว่าเข้าใจและใส่ใจอย่างแท้จริง ความสัมพันธ์จะก้าวข้ามจากการซื้อขายสู่ความไว้วางใจและความภักดี ผู้บริโภคจะไม่เพียงแค่เลือกซื้อแต่พร้อมที่จะสนับสนุนและยืนอยู่เคียงข้างแบรนด์ในระยะยาว ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่มีความหมายเกินกว่าจะประเมินค่าได้

แต่ท้ายที่สุดแล้ว: ปลายทางของทุกนวัตกรรม ยังคงต้องการ “ความเป็นมนุษย์”

ท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าสองกรณีศึกษาข้างต้นได้พิสูจน์ให้เห็นว่า AI กำลังก้าวข้ามขอบเขตไปสู่เทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการรับฟังอย่างลึกซึ้ง พร้อมกับการสังเกตสัญญาณอันละเอียดอ่อนที่มนุษย์อาจมองข้าม แล้วถึงแม้ AI จะสามารถตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนได้อย่างแม่นยำ แต่ทว่า ผู้ที่ยังคงมีบทบาทสำคัญในการตอบสนองและเยียวยานั้น ยังคงเป็นมนุษย์ด้วยกันเอง ดังนั้น ความสำเร็จที่ยั่งยืนจึงไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีเพียงลำพัง หากแต่อยู่ที่การผสาน “การรับรู้ที่แม่นยำของเทคโนโลยี” เข้ากับ “ความเข้าอกเข้าใจของมนุษย์” อย่างสมดุล

ศักยภาพในการฟังและสังเกตนี้ ยังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่อีกมากมาย แม้สองกรณีศึกษานี้จะมุ่งเน้นการใช้งานในระดับผู้บริโภค แต่ในอนาคต เราอาจได้เห็นการขยายบทบาทของ AI ไปสู่บริบทที่กว้างขึ้นทั้งในโลกธุรกิจ (B2B) และการดูแลสุขภาวะทางใจของพนักงานในองค์กร

บางทีคุณค่าที่แท้จริงของนวัตกรรม อาจไม่ได้อยู่ที่การพัฒนาเทคโนโลยีให้คิดได้เทียบเท่ากับมนุษย์ หากแต่อยู่ที่การทำให้ “มนุษย์” สามารถใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยในการเข้าใจ “มนุษย์” ด้วยกันได้ลึกซึ้งกว่าเดิม และนี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่ที่เทคโนโลยีไม่ได้มีไว้เพื่อเร่งสร้างความมั่งคั่ง แต่มีไว้เพื่อเพื่อเร่งสร้างความเข้าใจ และทำให้เรารับรู้“ความจริงที่ไม่ได้ถูกพูด” ของกันและกันได้ชัดเจนขึ้น

แหล่งข้อมูล

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Amarin TV

นักข่าวเขมร โพสต์อ้าง คนไทยเรียกร้องให้สองประเทศหยุดยิง

10 ชั่วโมงที่ผ่านมา

อาลัย พลทหาร ญาณพัฒน์ โคตรสาขา เสียชีวิตจากการสู้รบในพื้นที่ชายแดน

11 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

การบินไทยแจ้งปรับเปลี่ยนเที่ยวบินไป-กลับ กรุงเทพฯ–พนมเปญ

Khaosod

ค้าชายแดนไทย-กัมพูชา จากเส้นเลือดเศรษฐกิจ สู่สมรภูมิเดือด

อีจัน

ทีทีบี ออกมาตรการ “ตั้งหลัก” เร่งช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนและอุทกภัยภาคเหนือ

Manager Online

ยัสปาล เปิดตัวORI พรีเมี่ยมแอคทีฟ แวร์ ตอบโจทย์หญิงเอเชียนำร่องสยามเซ็นเตอร์

Manager Online

ปชป. เสนอทีดีอาร์ไอ ยุทธศาสตร์ลงทุนพืชไร่ "มันสำปะหลัง-ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์"อัพเกรดศักยภาพใหม่ประเทศไทย

สยามรัฐ

หุ้น AOTทะยานแล้ว 57% / สุนันท์ ศรีจันทรา

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

เขมรมั่วปล่อยข่าวสอย F16ไทยร่วง ที่แท้ AI ปลอม เด็กประถมยังดูออก

Amarin TV

เมื่อจีนขยับจากรถยนต์ไฟฟ้าสู่AI นโยบายอุตสาหกรรมยังใช้ได้อยู่หรือเปล่า

Amarin TV

"โฆษกพรรคกล้าธรรม" สรุปผลสัมมนาพรรค ดัน AI มาเสริม งานการเมือง

Amarin TV
ดูเพิ่ม
Loading...