Alibaba ชี้โอกาส SMEs ไทย บุกตลาดโลกด้วยข้อมูล กลยุทธ์ และดิจิทัลแพลตฟอร์ม
ทุกวันนี้ แค่มีสินค้าและความตั้งใจไม่พออีกต่อไป ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ ต้องมีวิสัยทัศน์ มีกลยุทธ์ มีเครือข่าย และพร้อมปรับตัวทันโลก
สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ จัดงาน ‘Regional Trade Exponential Fest 2025’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ภายใต้ธีม ‘ขับเคลื่อนเอเชียสู่อนาคต’ สร้างเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และเชื่อมโยงเครือข่ายกับผู้นำธุรกิจ เทคโนโลยี และสตาร์ทอัพจากทั่วโลก
หนึ่งในไฮไลต์คือ การเปิดมุมมองธุรกิจโดย โอเวน โจว (Owen Zhou) จาก Alibaba International Digital Commerce Group ที่มาแบ่งปัน Insight ล่าสุดของตลาดไทยบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลก ซึ่งน่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการขยายสู่ตลาดออนไลน์
ท็อป 5 อุตสาหกรรมส่งออกที่โดดเด่นของไทย บนแพลตฟอร์ม Alibaba
1. Food & Beverage กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มยังคงครองพื้นที่ใหญ่ที่สุด แสดงถึงดีมานด์สูงสุดจากผู้ซื้อทั่วโลก
2. Agriculture ภาคการเกษตรของไทยยังคงแข็งแรง โดยเฉพาะสินค้าดิบและแปรรูป
3. Health Care มีการเติบโตชัดเจน สอดคล้องกับเทรนด์การดูแลสุขภาพของผู้บริโภคทั่วโลก
4. Beauty ผลิตภัณฑ์ความงามจากไทยยังได้รับความนิยมสูงมาก โดยเฉพาะในตลาดเอเชียและตะวันออกกลาง
5. Apparel & Accessories เสื้อผ้าและเครื่องประดับไทยถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีศักยภาพในตลาดแฟชั่นขนาดกลาง-เล็ก
นอกจากนี้ยังหมวดสินค้าอื่นๆ ที่น่าจับตามอง เช่น กลุ่ม Home & Garden, Personal Care, Rubber & Plastics และ Jewelry มีขนาดตลาดรองลงมา แต่มีโอกาสเติบโต เพราะเป็นกลุ่มที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะทาง
สินค้ากลุ่ม Packaging, Construction และ Industrial Machinery ก็เป็นอีกโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายสู่ตลาด B2B หรือสินค้าในเชิงอุตสาหกรรม
ท็อป 10 ประเทศที่สนใจสินค้าจากไทยมากที่สุด
1. สหรัฐอเมริกา (12.12%) ถือเป็นตลาดใหญ่ที่เน้นคุณภาพและมาตรฐานสูง เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ และสกินแคร์ออร์แกนิก
2. ปากีสถาน (5.26%)
3. อินเดีย (4.81%) ตลาดกำลังพัฒนา สนใจสินค้าราคาคุ้มค่า เช่น เสื้อผ้า สินค้าเกษตร และบรรจุภัณฑ์
4. อียิปต์ (2.98%)
5. บังกลาเทศ (2.21%)
6. ฟิลิปปินส์ (2.20%) ประเทศที่มีดีมานด์สินค้าพื้นฐานในราคาจับต้องได้
7. ซาอุดีอาระเบีย (2.19%) นิยมสินค้าในกลุ่มความงาม แฟชั่น และ Health Care จากไทย
8. แอฟริกาใต้ (1.91%)
9. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (1.81%)
10. บราซิล (1.76%) ตลาดใหม่ที่ยังไม่อิ่มตัว เหมาะกับการสร้างแบรนด์ไทยในตลาดนอกกระแส
โอเวนกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการไทยไม่ควรจำกัดแค่ตลาดในเอเชีย แต่ควรเจาะตลาดใหม่ในตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาใต้ พร้อมใช้กลยุทธ์ Localized Marketing เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคในท้องถิ่นนั้นๆ ให้มากขึ้น
โอเวนยกตัวอย่างกรณีศึกษาความสำเร็จของผู้ประกอบการ SME ไทยรายหนึ่งในหมวดอาหาร สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า แพลตฟอร์ม B2B อย่าง Alibaba ไม่เพียงแต่เปิดประตูให้ผู้ประกอบการก้าวสู่ตลาดโลกเท่านั้น แต่ยังสามารถเร่งอัตราการเติบโตของธุรกิจได้ หากรู้จักใช้ ‘ข้อมูล’ (Data) และ ‘เครื่องมือ’ (Tools) อย่างมีประสิทธิภาพ
ภายในเวลาเพียง 6 เดือน ธุรกิจนี้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดี ทั้งในแง่ยอดขายที่เติบโตกว่า 150% จำนวนผู้สนใจที่เข้ามาติดต่อมากกว่า 1,000 รายต่อเดือน และการได้รับรีวิวระดับ 5 ดาว ซึ่งล้วนเป็นตัวบ่งชี้ความเชื่อมั่นจากตลาดต่างประเทศ
เบื้องหลังความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดจากโชคหรือสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการวางกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ตั้งแต่การวิเคราะห์เทรนด์ความต้องการในแต่ละตลาดก่อนเปิดร้าน ไปจนถึงการออกแบบหน้าร้าน ที่สะท้อนจุดแข็งของสินค้าไทยได้ นอกจากนี้การบริหารจัดการหลังบ้าน เช่น การตอบแชตเร็ว การตั้งราคาขายส่งที่เหมาะสม และการใช้โปรโมชันในจังหวะที่ถูกต้อง เป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่ม Conversion Rate และรักษาฐานลูกค้าในระยะยาว
กรณีนี้ย้ำให้เห็นว่า ‘อาหารไทย’ ยังมีศักยภาพอีกมากในตลาดโลก โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารแห้ง วัตถุดิบ และอาหารพร้อมกิน ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในสหรัฐฯ ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้ ซึ่งมีฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่คุ้นเคยกับอาหารไทย และมองหาแบรนด์ที่ให้ความสะดวก ปลอดภัย และคงรสชาติแบบต้นตำรับไว้ได้
ในภาพกว้าง กรณีนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ประกอบการไทยไม่จำเป็นต้องเริ่มจากทุนที่สูงหรือทีมขนาดใหญ่ แต่ต้องเริ่มจากการเข้าใจตลาด เปลี่ยนข้อมูลให้เป็นกลยุทธ์ และใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญสำหรับ SMEs ที่ต้องการขยายไปยังตลาดต่างประเทศในยุคที่พรมแดนการค้าถูกลดทอนด้วยเทคโนโลยี