เครื่องบูชา
เครื่องบูชาของไทยในยุครัตนโกสินทร์ตั้งแต่สถาปนากรุงมานั้น ถ้าสังเกตจากตำรับตำราและภาพบันทึกเก่า ๆ เรามักจะพบว่า
ตามแบบแผนแล้วใช้ของ4 อย่าง ตั้งสำรับคือ เทียน, ธูป, ข้าวตอก และดอกไม้อย่างไรก็ดี หากในภูมิประเทศใดหาสิ่งของไม่ครบก็มักจะลดหย่อนตามข้อจำกัดลงไป เช่น ในกรุง ใช้ ดอกไม้ ธูปเทียน ข้าวตอกไม่ค่อยใช้ ส่วนไทยทางข้างเหนือ/อีสาณ/พายัพ ใช้ เทียน ข้าวตอก ดอกไม้ ธูปเว้นไว้ ซึ่งก็อาจจะเป็นด้วยในในท้องถิ่นหาของไม่ใคร่จะได้สะดวกจึงมักลดเสียอย่างหนึ่ง แล้วก็เลยติดเป็นประเพณีมา แต่เครื่องนมัสการของหลวงท่านยังคงใช้ของทั้งสี่อย่าง
ตามแบบธรรมเนียมมาอยู่จนทุกวันนี้
สิ่งที่น่าสังเกตว่าเป็นลักษณะร่วมกันของมนุษยชาติชาวประเทศต่างๆเวลาทำเครื่องบูชาก็หนีไม่พ้นข้าวของสามสี่อย่างตามที่ว่าเช่นกัน ไม่ว่าจะจีนหรือญี่ปุ่นหรือผู้ถือโรมันแคทอลิกหรือแม้กระทั่งฝ่ายอิสลามก็ดี แลดูว่าเครื่องบูชาดูเป็นทำนองเดียวกันทั้งนั้น คือ ๑.สิ่งซึ่งให้แสงสว่างใช้เทียนบ้าง ตะเกียงบ้าง โคมบ้าง ๒.สิ่งจุดมาให้เกิดควันดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น ใช้ธูปบ้าง เนื้อไม้หอมบ้าง และยางไม้หอมบ้าง อย่างว่ากำยาน มดยอบ ๓.สิ่งทำให้เกิดประทินกลิ่นหอม ใช้ดอกไม้และข้าวตอก เป็นต้น
เครื่องบูชาอย่างไทยซึ่งใช้อยู่เป็นอย่างบริบูรณ์เต็มแบบมาจนบัดนี้ คือเครื่องนมัสการของหลวง ที่เรียกกันว่า “เครื่องทองทิศ” สำหรับพระเจ้าแผ่นดินทรงบูชาพระรัตนตรัย ในการพระราชพิธีใหญ่ๆ เจ้าพนักงานจะตั้งเตียงทอง เชิงเทียน 5 เชิง เชิงธูป 5 เชิง พานข้าวตอก 5 พาน แต่ละอย่างทำเเถวเรียงกัน แต่ถ้ากรณีทรงบูชาพระธรรม คือทรงสดับพระธรรมเทศนา เจ้าพนักงานตั้งเครื่องทองห้า มีเชิงเทียน 2 กระถางธูป 1 กรวยปักดอกไม้ 5 ส่วนกรณีเครื่องทองน้อยนั้นจะใช้ทรงบูชาเฉพาะวัตถุ เช่นพระบรมอัฐิ มีเทียน 1 เชิง ธูป กรวยปักดอกไม้ 1 ตั้งในพานทองลงยาราชาวดี
ทีนี้ว่าถ้าลำดับศักดิ์ของผู้บูชาสูงไม่ถึง ก็ยังมีเครื่องบูชาชื่งเป็นอย่างย่อมาจาก ๓ ชนิดที่กล่าวแล้ว คือ “กระบะนมัสการ” เปนรูปกระบะเชิง ถมยาประดับมุก ย่อลงมาจากเครื่องทองทิศ
กระบะเครื่องห้า ย่อมาจาก เครื่องทองห้า ใช้กระบะเชิงเช่นกัน ผู้มีศักดิ์สูงมักประดับมุกล้วน ผู้มีศักดิ์รองลงมาประดับมุกผสม แถวหน้าตั้งเชิงห้าเชิงเป็นเชิงเทียนสี่ธูปอยู่กลางหนึ่งตั้งพานดอกไม้สี่พาน
ส่วนกรณี เครื่องย่อของเครื่องทองน้อย ใช้เชิงเทียนหนึ่ง ธูปแพหนึ่ง ถ้วยใส่ดอกไม้สองส่วนจะเอาอะไรรองรับของทั้งหลายเหล่านี้? ถ้าว่าเป็นภิกษุก็ใช้กระบะเชิงขนาดเล็ก เป็นผู้มีบรรดาศักดิ์ใช้พาน ส่วนสตรีผู้หญิงใช้กระบะไม่มีเชิง
ส่วนขนาดเล็กลงไปกว่านั้นใช้แต่เทียนถือไปปักและวางในสถานที่ที่เขาเตรียมรับไว้ในงาน ของที่รองเทียนนั้นใช้กระทงก็ถือว่าเปนผู้ดีมีมารยาท ตามสมควรแก่ฐานะและทรัพยากรแล้ว
ทั้งนี้เนื่องจากสังคมของไทยเราเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมมีทั้งจีนทั้งแขกทั้งฝรั่ง ซิกข์พราหมณ์ต่างๆอยู่ร่วมกันในสังคมโดยผาสุกมาตลอด งานทางศิลปะเครื่องบูชาก็มีการทำงานร่วมกัน ตามเชื้อชาติวัฒนธรรม
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 ราชทูตไทยเดินทางไปราชการที่ปักกิ่งกลับมา ก็กราบบังคมทูลถวายรายงานว่า ที่กรุงปักกิ่ง และเมืองกวางตุ้ง เศรษฐีมีทรัพย์มากได้ทำสวนประชันกัน มีขุดสระทำภูเขาจำลอง เลี้ยงสัตว์ต่าง ๆ ปลูกต้นไม้ดอก ไม้ผลและยังทำต้นไม้เงินทอง ใบเงิน ใบทอง
ดอกและผลทำด้วยหยกและเพชรพลอย
พระองค์ท่านจึงทรงมีพระราชดำริที่จะมีที่รโหฐานอันสำราญเป็นเกียรติยศแผ่นดินให้เป็นที่เลื่องลือบ้าง โดยนอกจากมีพระราชประสงค์จะให้พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในใช้เป็นที่ประพาสเล่นแล้ว พระองค์จะได้ทรง ‘ดู’ สติปัญญาข้าราชการซึ่งเป็นช่างทั้งหลายในแผ่นดิน ทั้งช่างจำหลัก ช่างเขียน ช่างปูน ช่างปั้น ช่างต้นไม้ไทยจีน ที่มาร่วมสร้างอีกด้วย
ฝ่ายจีนนั้นเขาชอบทำลวดลายมงคลเขียนตามฉาก เขียนเป็นลายแจกัน เขียนเป็นลายเครื่องถ้วยเครื่องชาม ครั้นสวนขวาสร้างเสร็จแล้ว ผู้คนได้มีโอกาสพบเห็นก็ลือชา ว่าศิลปะผสมสวยงามน่าประทับใจ นำไปผูกเป็นลายเขียนผนังในโบสถ์โดยคิดดัดแปลงไปให้เครื่อง มงคล เหล่านั้นเป็นพุทธบูชา สามารถรับชมได้ที่พระอุโบสถวัดราชโอรสฯ (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่สาม ทรงเป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่สองสร้างวัดนี้ตั้งแต่ยังดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ) และเจ้าพระยานิกรบดินทร์ต้นสกุลกัลยาณมิตรท่านก็ได้เอาแบบอย่างมาเขียนฝาผนังอุโบสถที่วัดกัลยาณมิตรตรงฝั่งธนซึ่งท่านเป็นผู้สร้างในยุคเมื่อรัชกาลที่สามเสด็จขึ้นครองราชย์ เรียกสไตล์การทำเรียกสไตล์การทำเครื่องบูชาผสมอย่างนี้ว่าเครื่องบูชาอย่างม้าหมู่ (จีนผสมไทย)
เมื่อสวนขวาสร้างแล้วเสร็จ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่สองโปรดฯให้ขยายกำแพงพระราชวังด้านใต้ออกไปอีกเพื่อขุดสระใหม่ประจบสระเก่า ทำเกาะใหญ่ เกาะเล็ก สร้างพระที่นั่งเก๋งจีนและตึกอย่างฝรั่งขึ้นอีก
โดยให้นำศิลาแท่งใหญ่แท่งเล็กทำเป็นเขามอและทำเป็นแหลมปิดบังเขื่อนเพื่อปลูกบัวหลวง บัวเผื่อน รวมทั้งเลี้ยงปลา ในเวลาเช้าและเย็นพระองค์จะเสด็จออกพระที่นั่งเก๋งเพื่อโปรยข้าวตอกพระราชทานเลี้ยงปลา ทอดพระเนตรนกเป็ดน้ำและนกต่าง ๆ ยามพลบค่ำก็เสด็จออกประพาสเรือพระที่นั่งสำปั้นน้อยมีเจ้าจอมเป็นฝีพาย พร้อมทั้งเรือตามเสด็จเที่ยวทอดพระเนตรเก๋งและแพ ที่เจ้านายและข้าราชการแต่งไว้ แล้วเสด็จประทับเก๋งแพใหญ่ มีปี่พาทย์มโหรีทรงพระสำราญด้วยการมีพระราชดำรัสสั่งให้เจ้าจอมพายเรือแข่งกัน พร้อมทอดพระเนตรละคร มโหรี ดอกสร้อย หรือสักวายามค่ำลง จนลุถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ก็โปรดฯ ให้รื้อสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เช่น ภูเขา ตุ๊กตา สวนขวาถวายวัด โดยมีพระราชประสงค์จะอุทิศกุศลถวายสมเด็จพระราชบิดา ผู้เสด็จสู่สวรรคาลัยบริเวณสวนขวานั้นต่อมาได้เรียกกันว่า “สวนศิลาลัย”
ท่านผู้ใดมีความสนใจในประวัติศาสตร์ของสวนขวา สามารถแวะไปชมดูได้ที่ เมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งท่านเจ้าของได้ศิลปะวัตถุบางรายการมาจากการผาติกรรมจากวัดไผ่เงินโชตนาราม เขตยานนาวา ซึ่งรับเป็นสังเค็ตมาจากในแผ่นดินรัชกาลที่ 3 มาอีกทีหนึ่ง
งานอนุรักษ์เกี่ยวกับเครื่องบูชานั้นเห็นทีว่าท่านผู้กังวี่กังวลว่าของดีของงามของไทยคงจะสูญสลายไปตามวันเวลา คงจะได้คลายความกังวลก็ด้วยบทความฉบับนี้ ที่ว่าเยาวชนทั้งหลายซึ่งศึกษาฝ่ายศาสตร์ศิลปะ ไม่ว่าจะที่รั้วเพาะช่างหรือที่รั้วศิลปากร ล้วนแต่อายุอย่างน้อยก็ให้ความสนใจถ่ายทอดงานอันเกี่ยวเนื่องด้วยกิจการพระศาสนา ทำเอาไว้ทั้งส่งการบ้านอาจารย์ และผลิตงานศิลปะแห่งตน ก็งามงดหมดจดดี
รายการแรก เปนฝีมือ เครื่องบูชาไทยของ ภูผา รพีวิชญ์ จิรมิตรมงคล อายุเพิ่งจะ 19 ปี เรียนปีสองอยู่ที่ในรั้วทับแก้ว อาจารย์ให้ทำงานไปคัดลอกจิตรกรรมสำคัญมาส่งในรายวิชาจิตรกรรมไทย ก็ไปศึกษาภาพ พระเนมิราชชาดก ของครูทองอยู่ บรมครูคนสำคัญ ที่ วัดสุวรรณาราม (บางกอกน้อย) ภูผาตาละเอียดดีมองเห็นกำลังของตัวภาพ ของโครงเส้น โครงสีอารมณ์ที่ส่งให้สัมผัสถึงความศักดิ์สิทธิ์อย่างไทยเถรวาท เล่าให้ฟังว่า
“พระเนมิราชนั้น เป็นสัญลักษณ์ของการ อธิษฐาน หรือที่เรียกอย่างพระบาลีว่า อธิฏฺฐานปรมตฺถปารมี คือการที่ตั้งใจมุ่งมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งตั้งใจไว้ดีเเล้ว ใช้กำลังกายใจปัญญาที่บุคคลหนึ่งจะพึงกระทำได้ให้สำเร็จเพื่อหิตานุหิตประโยชน์เเก่ตนเองเเลชนนิกายทั้งหลาย เเม้เทพดาทั้งหลายได้ทราบความดังนี้ก็มาอาราธนาเชิญพระเนมิราชให้ขึ้นประทับธรรมาสน์ ณ สุธรรมาเทวสภา ดาวดึงส์ภูมิ ต่างชื่นชมสาธุการในคุณธรรมข้อนี้เเลของพระโพธิสัตว์ จึงเป็นเเรงบันดาลใจให้มีไฟคัดลอกด้วยความศรัทธาในพระศาสนา ๑ ด้วยความศรัทธาในความวิจิตรของงานชั้นครู ๑ เพื่อได้เรียนได้รู้ถึงรากของศิลปะไทยที่ไม่ใช่เเค่ความงามภายนอกที่ประดับอายตนะ เเต่เป็นการสะท้อนสภาวะภายในของครูผู้เขียน
นี่! อีกภาพเปนของ แดน วัชรพงษ์ สีเที่ยง จากรั้วเพาะช่าง ปี 4 ภาพเครื่องบูชาสีนวลตาด้วยโทนสีชมพูดอกบัวโรยนี้ แดนว่า “เป็นงานในรายวิชาจิตรกรรไทยประยุกต์ครับ ในรายวิชาสอบกลางภาคอาจารย์ก็ให้โจทย์มาว่าให้เขียนเครื่องบูชา เครื่องตั้งมงคล ตามความเชื่อของวัฒนธรรมที่ไทยได้จากจีน ผมก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้งวัดราชโอรสฯวัดสุทัศน์ฯ ก็ตั้งใจจะเขียนทุกสิ่งทุกอย่างให้มาสอดคล้องกัน”
“ภาพเครื่องบูชาแบบไทยแกมจีนนี้ได้รับคัดเลือกให้นำ ภาพนี้ได้รับคัดเลือกให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายกรมสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ผมมีความปลาบปลื้มใจอย่างยิ่งครับ”
ต่อข้อถามว่าทำไมจึงสนใจงานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องด้วยพระศาสนา ผลงานของแดนก้าวหน้ามาถึงงานศิลปะส่วนตัวฝ่ายอีสาณสีครามปูน
“ผมพื้นเพเป็นคนทุ่งกุลาร้องไห้ครับ เกิดที่บ้านกู่กาสิง เกษตรวิสัย ร้อยเอ็ด พื้นที่ที่ผมเกิดค่อนข้างกันดาร โชคดีที่ปู่ชอบเล่านิทานให้ฟังตอนเด็ก แล้วภาพจำนิทานของปู่ก็อบอวลอยู่ในความทรงจำ อยู่ในความนึกคิด เรื่อยมา นิทานเรื่องนึงของปู่ที่ผมชอบมากก็คือ ตำนานพระเจ้าเลียบโลก เล่าถึงการเสด็จมาที่ดินแดนสุวรรณภูมิของท่านแล้วก็มาประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่ต่างๆในแผ่นดินอีสาน งานของผมก็ถ่ายทอดผ่านสัญลักษณ์ เช่น เครื่องบูชาสักการะหรือว่า พวกพืชพันธุ์ที่เกิดในท้องถิ่น เช่น ดอกฟักทอง ดอกบวบ คือมันมีภาพความทรงจำที่มันดีในวัยเด็กก็พยามดึงเอามาสร้างสรรค์ออกอาโดยเล่าเรื่องผ่านรูปแบบของสถาปัตยกรรมในงานศิลปกรรมแบบอีสานนะครับ”
ส่วนงานสุดท้ายมีความจัดจ้านของสีสัน และมีความเปนสากลสูง ของ เอิน จิรสิน เหลืองชัยพร ซึ่งสำเร็จ ปริญญา สาขาทัศนศิลป์ จาก ศิลปากร มาหมาดๆเอิน เกิดและเติบโตมาใน อ.บ่อพลอย กาญจนบุรี ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน ที่มีวิถีชีวิตฝังรากลึกอยู่กับวัฒนธรรม ความเชื่อ และจิตวิญญาณแบบจีนดั้งเดิม เขากินเจมาตั้งแต่เด็กจนปัจจุบัน มีความเชื่อถือในเรื่อง “ความกตัญญู” ว่าไม่ใช่เพียงคำสอนในครอบครัว หากแต่เป็นรากฐานสำคัญของวิถีชีวิต ว่าด้วยการตอบแทนคุณด้วยความรักและความเคารพอย่างลึกซึ้ง จิตสำนึกเหล่านี้ได้หล่อหลอมและกลายเป็นแรงบันดาลใจหลักในการสร้างสรรค์งานศิลปะของเขา
เอิน มีประสพการณ์ตรงจากการร่วมในพิธีกรรมและขนบธรรมเนียมต่างๆ ผ่านการไหว้เจ้าในเทศกาลสำคัญอย่าง “ตรุษจีน” และ “สารทจีน” ซึ่งครอบครัวจะพร้อมหน้าพร้อมตากัน ทำอาหารเซ่นไหว้ จุดธูปบูชา และอธิษฐานต่อศาลเจ้ากวนกงประจำอำเภอบ่อพลอย
“ผลงานของผมจึงมักนำเสนอ “เครื่องตั้งจีน” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธา ความงามทางวัฒนธรรม และมรดกทางจิตวิญญาณ ภาพที่สร้างขึ้นถ่ายทอดรายละเอียดของเครื่องสักการะ เครื่องลายคราม ดอกไม้ ธูปเทียน และสิ่งของมงคลที่พบได้ในหิ้งบูชาของบ้านชาวไทยเชื้อสายจีน อีกทั้งยังสอดแทรกอักษรจีนที่สะท้อนคุณธรรมสำคัญ เช่น ความซื่อสัตย์, ความกตัญญู, และความเมตตา ซึ่งเป็นค่านิยมที่ผมเติบโตมาพร้อมกับความเชื่อถือเหล่านี้”
มาถึงจุดนี้ท่านก็จะพบว่านอกจากจะมีผู้รักษาของดีของงามของบรรพบุรุษเอาไว้ได้แล้ว ยังไม่พอ อย่างน้อยศิลปินทั้งสามนี้ก็ยังทำหน้าที่สืบสานมาให้แล้ว เหลือเพียงการต่อยอดว่าจะสร้างงานศิลปะของพวกเขาจะไปสู่การขับเคลื่อนซอฟท์พาวเวอร์กันได้อย่างไรกัน
เป็นไปได้ไหมที่ภาพอันงดงามเหล่านี้จะถูกผลิตขึ้นเป็นเครื่องบูชา หมายความว่าบูชาสิ่งควรบูชาด้วยงานศิลปะ แทนที่จะต้องวิ่งวุ่นหาข้าวของมาตั้งโต๊ะบูชากันในแต่ละวัน วิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีเวลาแต่ว่าซาบซึ้งในการเคารพบูชาสิ่งสำคัญในชีวิต จะใช้งานศิลปะอย่างว่ารูปเขียนเครื่องตั้งแขวนบูชาแทนข้าวของต่างๆได้หรือไม่ หรือขับเคลื่อนไปเป็นสินค้าอย่างอื่น เช่น เปนลวดลายของร่ม ที่เปนของสูง เป็นลวดลายของหมวก ที่สวมศีรษะ หรือแม้กระทั่งผ้าพันคอซึ่งวัตถุดิบทำจากหรือแม้กระทั่งผ้าพันคอซึ่งวัตถุดิบทำจากไหมดีดีของไทย ที่เปนซอฟท์พาวเวอร์ไม่น้อยหน้าใครในปฐพี