MEGA ราคานี้คุ้มไหม? จากต้นปีรูดแล้วกว่า 16% กูรูเสียงแตก แนะทั้ง “ซื้อ” และ “Neutral” มอง Q2 ไม่สดใส แต่โรงงานใหม่หนุนระยะยาว
ราคาหุ้น บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน โดยวันที่ 18 ก.ค.68 ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 28.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.89% จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 21.22 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากนับจากต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปแล้ว 16.30% จากระดับ 33.75 บาท ณ วันที่ 2 ม.ค. 68
โดยคาดว่าปัจจัยที่กดดันราคาหุ้น มาจากกำไรไตรมาส 1/68 ที่ต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาด ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/68 ยังคงถูกกดดันจากยอดขายที่ยังชะลอในตลาดหลัก (เมียนมา, เวียดนาม) อีกทั้งและเงินบาทแข็งค่าเป็นตัวกดดันรายได้ส่งออก
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มีคำแนะนำที่หลากหลายต่อหุ้น MEGA โดย บล.ทิสโก้แนะนำ “ซื้อ” โดยมองกำไรปีนี้โต 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ไตรมาส 2/68 จะชะลอจากผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยนและภาษีที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจแบรนด์นอกเมียนมายังเติบโตดี ขณะที่ บล.กรุงศรี แนะ “Neutral” โดยคาดว่ากำไรปี 2568 จะหดตัว 8% จากรายได้จัดจำหน่ายที่อ่อนแอ โดยเฉพาะในเมียนมา แม้มีแผนลงทุนโรงงานใหม่รองรับการเติบโตระยะยาว
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด แนะนำ “ซื้อ” หุ้น MEGA ด้วยราคาเป้าหมาย 37.00 บาท อิงจาก PER ปี 2568 ที่ 11.9 เท่า (มาจาก -1 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังห้าปีของหุ้น) ยังคงอยู่ ด้วยโอกาสการเติบโต 23% จากราคาหุ้นปัจจุบัน
ส่วนแนวโน้มธุรกิจนอกประเทศเมียนมายังคงเป็นบวก ดังนั้น รายได้จากธุรกิจแบรนด์ไม่รวมในเมียนมาควรยังคงเติบโตในระดับสูงเป็นตัวเลขหลักเดียว ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ ยังคงการคาดการณ์ ซึ่งคาดว่ารายได้จะเติบโต 4% จากธุรกิจแบรนด์ อย่างไรก็ตาม ความต้องการที่อ่อนแอจากเมียนมายังคงเป็นความท้าทายและอาจส่งผลกระทบต่อรายได้รวม
นอกจากนี้ อัตราภาษีที่มีผลในปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากการหมดอายุของสิทธิประโยชน์ทางภาษี การคาดการณ์การเติบโตของกำไรสุทธิของ บล.ทิสโก้ อาจดูแข็งแกร่ง โดยเติบโต 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่หากไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน การคาดการณ์กำไรปกติสำหรับไตรมาส 2/68 ลดลง 12% โดยส่วนใหญ่มาจากรายได้ที่อ่อนตัวจากธุรกิจในเมียนมาและอัตราภาษีที่มีผลที่สูงขึ้น
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) แนะนำ “Neutral” หุ้น MEGA ด้วยราคาเป้าหมาย 26.00 บาท ทั้งนี้ กรณีที่ MEGA จะสร้างโรงงานเพิ่มเติมในเวียดนาม อินโดนีเซีย และเมียนมา เพื่อรองรับความต้องการในธุรกิจแบรนด์ในเมียนมา เพื่อผลิตยาสำหรับตลาดเมียนมา นอกเหนือไปจากธุรกิจการจัดจำหน่ายที่มีอยู่แล้ว บล.กรุงศรี มองว่าการสร้างโรงงานเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพสำหรับตลาดเมียนมาที่มีความเสี่ยง
เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของ MEGA สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์แบรนด์สินค้าต่างประเทศที่ส่งออกนอกประเทศได้ CAPEX สำหรับสามปีข้างหน้าอาจมีมูลค่ารวม 250 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 8 พันล้านบาท) ซึ่งสามารถระดมทุนด้วยเงินสดภายใน เพราะ MEGA มี EBITDA ประมาณ 3 พันล้านบาทต่อปี สิ่งนี้ยืนยันถึงแนวโน้มระยะยาวที่ดีของ MEGA แม้ว่าในระยะสั้น แนวโน้มอาจอ่อนแอลงจากสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายในเมียนมา
ทั้งนี้ มองว่ายอดขายในไตรมาส 2/68 อาจยังคงอ่อนแอ คล้ายกับการลดลง -14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาส 1/68 (เหลือ 3.2 พันล้านบาท) เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในเมียนมายังคงท้าทาย สำหรับปี 2568 คงกำไรหลักไว้ที่ 2 พันล้านบาท -8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายจากการจัดจำหน่ายที่ลดลง 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (เหลือ 6.1 พันล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม บล.กรุงศรี กำหนดราคาเป้าหมายไว้ที่ 10.9 เท่า ของ P/E ปี 2568 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ -1.5SD ปัจจุบันหุ้นมีการซื้อขายอยู่ที่ 12.8 เท่า ของ P/E ปี 2568 แม้ว่าเมียนมาจะเป็นความเสี่ยงหลัก แต่คิดว่าสภาพเศรษฐกิจดูจะมั่นคง ดังนั้น แนวโน้มขาลงจึงสะท้อนให้เห็นได้