สภาอุตสาหกรรม-สภาหอการค้า-ซีพี ชื่นชมรัฐบาลปลดล็อกภาษีสหรัฐ สร้างความมั่นใจเศรษฐกิจไทยเดินหน้า

เผยแพร่ 15 ชั่วโมงที่ผ่านมา

สภาอุตฯ สภาหอฯ และซีพี ชื่นชมความสำเร็จของรัฐบาลในการเจรจาปลดล็อกภาษีกับสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 19% จากเดิม 36% ซึ่งเป็นข่าวดีที่ช่วยเสริมความมั่นใจในเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทยในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะด้านการลงทุนและส่งออก ทั้งนี้ยังเป็นความสำเร็จของทีมไทยแลนด์ที่สามารถต่อรองได้ดี สะท้อนความเชื่อมั่นในจุดแข็งด้านโลจิสติกส์และความสามารถในการปรับตัวในระยะยาว พร้อมกันนี้ นักวิเคราะห์และภาคธุรกิจต่างยอมรับว่านโยบายนี้ช่วยลดความกดดันด้านต้นทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมใหม่ รวมถึงเป็นการปลดล็อกความไม่แน่นอนด้านการค้าและการลงทุนในอนาคต พร้อมผลักดันให้ไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ดีขึ้นและรักษาความเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ ได้อย่างมั่นคง

ในที่สุด ทีมไทยแลนด์ก็ประสบความสำเร็จกับการเจรจาภาษีต่างตอบแทนกับสหรัฐฯ ได้เป็นตัวเลขภาษีที่ 19% ซึ่งถือว่าลดลงมาจากอัตราเดิมที่ 36%

นอกจากตัวเลขนี้ จะเทียบเท่ากับหลายประเทศเพื่อนบ้านของเราแล้ว ภาคเอกชนไทยเองก็มองว่า ถือว่าเป็นข่าวดี เพราะยังคงทำให้เราแข่งขันกับหลายประเทศได้ รวมถึงเป็นอัตราที่มีแนวโน้มที่ดี ในการได้รับการลงทุนจากต่างชาติ และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และเศรษฐกิจไทยได้

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว TNN ถึงอัตราภาษีที่เราเจรจาได้นั้นว่า “ถือว่าเป็นข่าวดี และต้องบอกว่าเป็นความพยายามของทีมไทยแลนด์ที่ไม่เสียเปล่า อย่างน้อยขั้นแรกเราผ่าน เพราะอัตราภาษีเราไม่แตกต่างมากจากกลุ่มประเทศที่ผลิตสินค้าคล้ายๆ เรา ที่ทดแทนกันได้ อันนี้คือความสามารถทางการแข่งขันด้านราคา เพราะว่าการส่งสินค้าไปยังตลาดเดียวกัน ถ้าได้ภาษีที่ต่างกัน ก็คือราคาซื้อขายที่ต่างกัน”

ถึงอย่างนั้นรองประธานกรรมการหอการค้าไทยชี้ว่า ไทยยังมีอีกหลายด่านที่รออยู่ เพราะการค้าโลกเปลี่ยนแปลงไปเยอะ การเจรจายังมีอีกหลายเรื่องที่เราก็ต้องเตรียมการรับมือ ทั้งความเป็นไปได้ที่จะมีสินค้าที่มาแข่งกับไทยเอง ความแตกต่างเรื่องการขนส่ง หรือกลุ่มเป้าหมาย “เราตัองวางตัวให้ชัดเจนว่า สินค้าไหนจะขายในประเทศกับผู้บริโภคกลุ่มไหน กลุ่มที่มีรายได้น้อย กลาง หรือสูง ต้องมีความชัดเจนขึ้น” วิศิษฐ์ ระบุ

แต่ถึงอย่างนั้น นายวิศิษฐ์ก็ชี้ว่า นอกจากสหรัฐฯ แล้ว ไทยได้รอเรื่องทำ FTA กับ EU และประเทศต่างๆ เพื่อรอการลงทุน โดยในแง่มุมไทย เรามีจุดแข็งที่มีมานาน คือ เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ สินค้าเราส่งไปประเทศอาเซียนได้ทั้งทางบก และเรือด้วย

นอกจากนี้ นายวิศิษฐ์ยังเสริมว่า การปรับตัวของไทยนั้น เราจะเห็นชัดเจนมากขึ้นในช่วงปลายปี ถึงต้นปีหน้า ส่วนในระยะยาว เราต้องปรับตัว โดยเฉพาะกับนวัตกรรมสินค้าเพื่อความแตกต่าง และความยั่งยืน รวมถึงประเด็นสิ่งแวดล้อม เพื่อไปยังตลาดอื่นๆ ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ เท่านั้น

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเอง ได้ระบุเช่นกันว่า อัตราภาษีนี้ ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ “อันดับแรกเพราะใกล้เคียงกับคู่แข่งในอาเซียน ไม่สูง หรือต่ำเกินไป ในการที่เราจะส่งออก อัตรานี้ทำให้เราส่งออกสินค้าได้ แต่จะมีบางอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ต้องปรับตัวในการลดต้นทุน เพิ่มการผลิตให้ดีขึ้น”

“แต่เดิม ในภาคการลงทุน เราเป็นห่วงว่าถ้าถูกคิดภาษีสูงกว่าประเทศอื่น ต่างชาติที่จะย้ายฐานมาใช้ฐานในไทย ก็จะชะลอตัวลง แต่พอผลออกมาอย่างนี้ก็สบายใจ เพราะว่า 6 เดือน ของปี 68 ก็เห็นเลยว่ายอดการลงทุนผ่าน BOI สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และถ้าอัตราภาษีเป็นแบบนี้ คาดว่า 6 เดือนในปลายปีนี้ กระแสการลงทุนจะยังดี และเป็นบวก” โดยนายเกรียงไกรชี้ว่า สินค้าที่จะยังเข้ามาลงทุนคือกลุ่ม Smart Electronic, รถยนต์ EV และอุตสาหกรรมใหม่

นายเกรียงไกรยังย้ำอีกว่า ตัวเลขนี้เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับไทย และนักลงทุนต่างชาติได้ “ถือว่าเป็นข่าวดี ต้องขอบคุณทีมไทยแลนด์ ภาครัฐ ที่นำโดยท่านพิชัย ชุณหวชิรรองนายกฯ ที่นำทีม และเจรจาร่วมกับทีมกระทรวงต่างๆ และเอกชน 3 สถาบัน ทำข้อมูลจนได้อัตราที่พอใจ เราเชื่อมั่นว่าด้วยอัตรานี้ ในแง่ของการแข่งขัน ส่งออกโดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่เราพึ่งพิง 18% ในปีก่อน เราจะยังรักษาได้ และในเรื่องของ FDI หรือการลงทุนจากต่างประเทศ ที่ตอนแรกเรากังวลว่า ต่างชาติจะย้ายไปประเทศเพื่อนบ้าน แต่ตอนนี้เชื่อว่าประเทศไทยใน 6 เดือนปลายปี ยังอยู่ในเทรนด์ดี และทิศทางบวก”

“ผมเชื่อว่าอัตรานี้ ส่งผลที่ดีด้านความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนของไทย และต่างชาติอย่างมาก” นายเกรียงไกร ยืนยัน

ภาคธุรกิจเอกชนนั้น นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์เองก็ได้แสดงความชื่นชมถึงรัฐบาลไทย ในการเจรจาเช่นกัน

“ผมขอแสดงความชื่นชมและขอบคุณรัฐบาลไทย และทีมเจรจาการค้าของไทยนำโดย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ท่านพิชัย ชุณหวชิร ที่ประสบความสำเร็จในการผลักดันให้สหรัฐฯ ปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าไทยเหลือ 19% สำหรับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ และสร้างความมั่นใจต่อภาคเอกชนไทย”

“การค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ เขามีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าเรา สิ่งสำคัญคือ สหรัฐฯ ไม่ได้ปฏิบัติต่อเราประเทศเดียวแต่มีการเจรจาภาษีกับทุกประเทศ และถือว่าไทยอยู่ในระดับของ ‘พันธมิตรทางเศรษฐกิจ’ ซึ่งสะท้อนถึงความไว้วางใจ

ผลจากการเจรจาครั้งนี้ช่วย ‘ปลดล็อกความกังวลของภาคเอกชน’ ว่าเราจะสามารถแข่งขันได้หรือไม่ในเวทีโลก ภาษีที่สูงกว่าคู่แข่งจะเป็นอุปสรรคหรือไม่ ซึ่งวันนี้คำตอบคือ — เราอยู่ในจุดที่แข่งขันได้ และนั่นช่วยให้การวางแผนลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น”

“ความไม่แน่นอนที่เคยเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจลงทุนของหลายกลุ่มธุรกิจ วันนี้ก็คลี่คลายลง ถือเป็นข่าวดีของเศรษฐกิจไทยโดยรวม และเราพร้อมเดินหน้าต่อในยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศ ด้วยความมั่นใจมากขึ้น” นายศุภชัย ทิ้งท้าย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง