สมศ.ชูโรงเรียนวัดกู่คำ เชียงใหม่ ตัวอย่างการพัฒนา ยึดแนวทาง 1 วิถี 4 กิจกรรม
"ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ดั่งดอกไม้บาน ภูผาใหญ่กว้าง ดั่งสายน้ำฉ่ำเย็น ดั่งนภาอากาศ อันบางเบา…" เสียงเพลง ดั่งดอกไม้บาน ดังขึ้นทุกชั่วโมง เพื่อเตือนสติเด็ก ๆ โรงเรียนวัดกู่คำ (เมธาวิสัยคณาทร) ให้กลับมารู้สึกตัวเอง พร้อมเปิดรับการเรียนต่อไป
โดยวิธีดังกล่าวเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่โรงเรียนนำมาใช้พัฒนานักเรียน ภายใต้แนวทางหลักคือ 1 วิถี 4 กิจกรรม เน้นการอยู่ร่วมกันอย่างประชาธิปไตย สร้างนักเรียนให้เป็นผู้นำการเรียนรู้ ซึ่งได้รับความสนใจจากกระทรวงการศึกษา เนื่องจากโรงเรียนวัดกู่คำ (เมธาวิสัยคณาทร) ตำบลยุหว่า อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับเลือกจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. ให้เป็นตัวอย่างโรงเรียนขยายโอกาส ที่สร้างโอกาสให้กับนักเรียน สู่การเป็น Learner Leader Innovator จากการนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกมาปรับใช้
โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการศึกษา ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.องอาจ นัยพัฒน์ ผู้อำนวยการ สมศ. ได้ลงพื้นที่ติดตามผลงานความสำเร็จ เมื่อวันที่ 31 ก.ค.68 เพื่อใช้เป็นแบบอย่างในการขยายแนวทางพัฒนาโรงเรียนอื่นต่อไป
ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า โรงเรียนนี้มีนักเรียนประมาณ 200 คน จากการเยี่ยมชม พบว่า โรงเรียนได้รับความร่วมมือจากผู้บริหาร ครู ชุมชน ในการออกแบบจัดกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งการมีส่วนร่วมคือสิ่งสำคัญที่สุดในการพัฒนาโรงเรียนและนักเรียน สามารถทำตามแผนและคำแนะนำจาก สมศ.ได้ง่าย ที่ผ่านมา สมศ.ถูกมองว่าเป็นผู้ประเมิน ปัจจุบันภาพลักษณ์เปลี่ยนไป ลดเกณฑ์ประเมินเหลือ 16 ตัวชี้วัด เพื่อลดภาระโรงเรียน รวมถึงปรับเกณฑ์ประเมินทุก 5 ปี แต่ต้องสะสมผลงานทุกปี
ดังนั้น การบูรณาการร่วมกับชุมชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้โรงเรียนมีผลงานมากขึ้น เช่นโรงเรียนวัดกู่คำ คือตัวอย่างความสำเร็จ ในอนาคต สมศ.ต้องเข้าไปช่วยพัฒนาโรงเรียน เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนเรียนใกล้บ้านอย่างมีความสุข โดยสนับสนุนโรงเรียนตามอัตลักษณ์ประจำถิ่นของแต่ละพื้นที่ และหวังว่า สมศ.จะทำความเข้าใจกับโรงเรียน ว่าเป้าหมายหลักของ สมศ.คือ ส่งเสริมให้มีคุณภาพ ไม่เพิ่มภาระ เหมือนการวางโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนรายละอียดให้โรงเรียนเป็นผู้แต่งเติมเอง
ศาสตราจารย์ ดร.องอาจ กล่าวว่า เพลง 'ดั่งดอกไม้บาน' ที่ได้ยิน ก็คือรายละเอียดการพัฒนาส่วนหนึ่งในด้านจิตใจ ควบคู่ด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น ด้านความคิดสร้างสรรค์ มีการนำขยะมาแปรเป็นงานศิลปะ และของใช้ประโยชน์ ซึ่งมาจากความร่วมมือทั้งชุมชน ครู ผู้บริหาร ทำให้เด็กมีคุณภาพ โดยเฉพาะชุมชน ผู้ปกครอง หากให้ความสำคัญดูแลติดตาม โรงเรียนก็จะแข็งแรงขึ้น เด็กจะมีคุณภาพ ปัจจุบัน สมศ.เน้นพิจารณาข้อมูลเชิงประจักษ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมากกว่าเอกสาร เน้นการดำเนินการสะสมต่อเนื่องทุกปี สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถปลอมแปลงได้
ในอนาคตโรงเรียนที่ผ่านการประเมินแล้ว จะได้รับการประเมินผ่านออนไลน์ เพื่อลดเวลา ลดขั้นตอนและทรัพยากร เนื่องจากเชื่อว่าโรงเรียนที่ผ่านการประเมินมีความแข็งแรง เพราะได้รับความร่วมมือจากชุมชน ถือเป็นกำลังสำคัญที่จะคงคุณภาพโรงเรียนไว้ไม่ให้ลดลง เพราะชุมชนจับตามองอยู่ เช่นเดียวกับโรงเรียนวัดกู่คำ มีการทำจริง ไม่ได้ปั้นแต่งปลอมแปลงผลงาน จึงได้รับเลือกให้เป็นโรงเรียนตัวอย่าง ยกตัวอย่าง การเปิดเพลง ดั่งดอกไม้บาน เป็นระยะระหว่างเรียน ช่วยเจริญสติ ดึงสติเด็กกลับมาเป็นระยะ สมศ.ประเมินแล้วว่ามีประโยชน์ต่อนักเรียน เป็นต้น
ดร.ประคอง พิไรแสงจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดภู่คำ (เมธาวิสัยคณาทร) กล่าวว่า ได้นำคำแนะนำจากการประเมินของ สมศ.มาพัฒนาเป้าหมายในการสร้างผู้เรียนให้เป็นผู้เรียนรู้ ผู้นำ และนวัตกร (Learner, Leader, Innovator) ผ่านวิธีการปฏิบัติจริง อาทิ การตั้งเป้าหมายรายบุคคล การประเมินกลุ่มเพื่อน การดูแลกันเองตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาที่ 1 ด้วยการจัดทำกระบวนการเรียนรู้แบบ 1 วิถี 4 กิจกรรม ได้แก่ 1.กิจกรรมกลุ่ม 2 มิติ - ฝึกการเรียนรู้อยู่ร่วมกันบนวิถีประชาธิปไตยและความเป็นผู้นำ 2.กิจกรรมเล่าเรื่องประเทืองปัญญา - ฝึกทักษะการเรียนรู้ ทักษะการคิดผ่านข่าวและเหตุการณ์รอบตัว 3.กิจกรรมจิตศึกษา - พัฒนาสติ ปัญญาอารมณ์และความเข้าใจตนเอง 4.กิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการสร้างสรรค์นวัตกรรม - ฝึกให้ผู้เรียนได้เรียนรู้สู่การสร้างนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรมจากสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวของผู้เรียน ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ที่ต่อยอดได้จริงในชีวิต
ด้านนางพิมพากร วรรณวิริยวัตร ครูประจำชั้นประถมศึกษาที่ 5 กล่าวว่า ยกตัวอย่าง กิจกรรมเล่าเรื่องประเทืองปัญญา เป็นเสมือนวิชาหนึ่งถูกบรรจุอยู่ในตารางสอนทุกชั้นปี กำหนดให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มประกอบไปด้วยนักเรียนเก่งและไม่เก่งคละกันไป เป้าหมายเพื่อให้ดูแลกันด้านการเรียน โดยกิจกรรมดังกล่าวจะให้นักเรียนเลือกข่าวแต่ละวันที่สนใจมาเสนอเพื่อช่วยกันโหวตในชั่วโมงเรียน ว่าเรื่องใดมีผู้สนใจมากที่สุด จากนั้นจะให้นักเรียนถามเพื่อแสดงความคิดเห็นกันในห้อง ว่ามีมุมมองต่อข่าวนั้นอย่างไร โดยมีครูเป็นผู้ควบคุมกิจกรรม คล้ายผู้ดำเนินรายการ กิจกรรมนี้ทำให้เด็กรู้จักสืบค้นข้อมูลเพื่อมานำเสนอ และรู้จักใช้ความคิดในการแสดงความคิดเห็นในมุมมองต่าง ๆ อย่างกล้าแสดงออก สุดท้ายครูจะให้สรุปความเห็นที่ได้จากกิจกรรม เพื่อเขียนเป็นข่าวอีกครั้ง ย้ำความเข้าใจและความคิดของเด็ก และเพื่อฝึกให้เด็กเขียนและอ่านหนังสือในคราวเดียวกัน กล่าวได้ว่า กิจกรรมเดียวเด็กได้ฝึกเกือบครบทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้ ยังไม่รวมกิจกรรมเสริมทักษะด้านอื่น ๆ อีก
น้องนัฐกับน้องมิลิน นักเรียนชั้น ป.2 เล่าว่า ในกิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการสร้างสรรค์นวัตกรรม ทั้งคู่ร่วมกับครูประจำชั้นช่วยกันออกแบบผลิตของเล่นจากขยะ เช่น ขวดน้ำพลาสติก กล่องกระดาษ ฟองน้ำ โฟม นำมาประกอบกัน ตั้งชื่อว่า 'ไดไม้พ่นน้ำ' เนื่องจากออกแบบให้เป็นไดโนเสาร์ แต่สามารถใส่น้ำรดน้ำต้นไม้ได้ด้วย พร้อมติดตั้งล้อจำลองด้านล่าง กลายเป็นของเล่นจากจินตนาการสุดล้ำ ซึ่งถือเป็นผลงานส่วนหนึ่งที่นำมาแสดงให้ผู้ใหญ่ดูในวันนี้ ภายใต้กระบวนการเรียนรู้แบบ 1 วิถี 4 กิจกรรม
สำหรับโรงเรียนวัดกู่คำ (เมธาวิสัยคณาทร) จ.เชียงใหม่ เป็นโรงเรียนขยายโอกาส เปิดสอนระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1 - มัธยมศึกษาปีที่ 3 มีนักเรียน 239 คน ระดับมัธยมศึกษา 71 คน อัตราส่วนผู้เรียนเป็นเด็กพื้นที่ร้อยละ 71 เด็กต่างชาติร้อยละ 25 และเด็กชาติพันธุ์ร้อยละ 4 พร้อมรับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบจากหน่วยงานภายนอก ทั้งในด้านงบประมาณ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและทรัพยากรด้านนวัตกรรมการศึกษา