ประกันสังคมยังมีทางรอด ภัณฑิราชี้ เพิ่มผลตอบแทนแค่ 1% สร้างเงินเพิ่ม 27,000 ล้าน
กองทุนประกันสังคมทั่วโลกอาจเผชิญความเสี่ยงล้มละลายได้ในอนาคต หากไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤต ‘สังคมสูงวัย’ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่จำนวนประชากรวัยเกษียณมีมากกว่าจำนวนประชากรวัยทำงาน
ด้วยเหตุนี้ กองทุนประกันสังคมส่วนใหญ่จึงพยายามปรับตัวเพื่อยืดอายุกองทุนด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการลดสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนลง รวมถึงเพิ่มอายุเกษียณให้สูงขึ้น หรือแม้แต่เพิ่มการเรียกเก็บเงินสมทบจากผู้ประกันตน
อย่างไรก็ตาม ภัณฑิรา เวอร์การา อนุกรรมการ ที่ปรึกษาการลงทุนสินทรัพย์นอกตลาด กองทุนประกันสังคมให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ในรายการ Exclusive Interview โดยเปิดเผยว่า กองทุนประกันสังคมไทยยังมีโอกาสยืดอายุกองทุนด้วยทางเลือกที่ดีที่สุด นั่นคือเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนให้สูงขึ้นได้
ประกันสังคมไทย ผลตอบแทนต่ำมาตลอด
ภัณฑิรากล่าวว่า นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุนเมื่อ 33 ปีก่อน กองทุนประกันสังคมไทยมีผลตอบแทนเฉลี่ยค่อนข้างต่ำ ซึ่งเมื่ออิงตัวเลขจากงานวิจัยของทีดีอาร์ไอ (TDRI) พบว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ประกันสังคมมีผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 2.7% เท่านั้น
ขณะที่เงินดอลลาร์ซึ่งเป็นสกุลเงินหลักของโลก สามารถให้ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 5% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ด้วยผลตอบแทนที่ไม่สอดคล้องเช่นนี้ กองทุนประกันสังคมไทยยังมีโอกาสในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการลงทุน เพื่อเพิ่มผลตอบแทนและยืดอายุให้กับกองทุนประกันสังคมของไทย
‘ลงทุนกระจุกตัวในประเทศ – ระบบราชการ’ สองปัจจัยถ่วงผลตอบแทน
ภัณฑิรา ชี้ว่า มี 2 ปัจจัยด้วยกันที่ทำให้กองทุนประกันสังคมไทยมีผลตอบแทนต่ำเกินศักยภาพ ซึ่งแบ่งเป็นปัญหาด้านโครงสร้างและปัญหาด้านการลงทุน
สำหรับปัญหาด้านโครงสร้าง สำนักงานประกันสังคม (สปส.) มีสังกัดภายใต้กระทรวงแรงงาน จึงทำให้มีโครงสร้างของระบบราชการครอบไว้ ด้วยเหตุนี้เอง ระเบียบและขั้นตอนต่างๆ ที่มีอยู่ จึงอาจเป็นข้อจำกัดสำคัญที่ทำให้กองทุนประกันสังคมไม่สามารถบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ
ส่วนปัญหาด้านการลงทุนเกิดจากการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงและสินทรัพย์ต่างประเทศน้อยเกินไป เนื่องจากไทยไม่ได้เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ การมุ่งหวังผลตอบแทนจากการลงทุนเพียงแค่สินทรัพย์ในไทย จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว
ก่อนหน้านี้ ประกันสังคมลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศไม่เกิน 15% เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันมีความพยายามผลักดันให้มีการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้น ล่าสุดมีการถือครองเพิ่มขึ้นเป็น 35% และมุ่งเป้าแตะ 40% ภายในกลางปี 2570
“การกระจายการลงทุนโดยอิงผลตอบแทนให้ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยโลกที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงการลงทุน จึงเป็นวิธีบริหารกองทุนประกันสังคมที่ดีที่สุด” ภัณฑิรากล่าว
ไม่เพียงเท่านั้น กองทุนประกันสังคมถือเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยมูลค่ากว่า 2.7 ล้านล้านบาท หากไม่กระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศก็จะเป็นดั่ง ‘ปลาวาฬที่ใหญ่คับบ่อ’ ซึ่งไม่มีความคล่องตัวเนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีขอบเขตการลงทุนที่แคบเกินไป
แต่เมื่อเทียบกับนานาชาติแล้ว ประกันสังคมถือเป็นกองทุนขนาดกลางเท่านั้น ทำให้การลงทุนที่กระจายไปยังต่างประเทศ จะช่วยให้ประกันสังคมมีสภาพคล่องที่ดีขึ้นได้ และหากกองทุนประกันสังคมสามารถสร้างผลตอบแทนได้เพิ่มขึ้นทุกๆ 1% ก็จะช่วยสร้างกำไรให้กับกองทุน 27,000 ล้านบาท
ธรรมาภิบาลต่ำ อุปสรรคต่อการสร้างผลตอบแทนสูง
ภัณฑิรากล่าวว่า แม้จะได้ข้อสรุปแล้วว่าตึก SKYY9 Centre นั้นถูกซื้อด้วยมูลค่าที่สูงเกินจริง แต่ด้วยปัญหาโครงสร้างที่อยู่ภายใต้ระบบราชการ ทำให้การเผยแพร่เอกสาร และการเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ยังคงค่อนข้างจำกัด สะท้อนถึงระดับธรรมาภิบาลที่ยังคงต่ำ
ดังนั้น ประกันสังคมจึงจำเป็นต้องได้รับการผลักดันธรรมาภิบาลขั้นสุด ให้ได้มาตรฐานสากล มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ มีการชี้แจงจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ ภัณฑิรายังเผยอีกว่า จากปัญหาในด้านธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการบริหาร ทำให้กองทุนประกันสังคมไทยไม่เคยเป็นที่จับตาของสถาบันการเงินชั้นนำอื่นๆ ในโลกนี้เลย ซึ่งทางบอร์ดประกันสังคมเองก็ได้พยายามที่จะเชื่อมและนำเสนอกองทุนประกันสังคมไทยต่อกองทุนอื่นๆ มากขึ้น
เพราะหากประกันสังคมไทยสามารถร่วมลงทุนกับกองทุนต่างชาติได้ กองทุนไทยก็จะมีโอกาสได้กระจายความเสี่ยงเข้าไปลงทุนยังพอร์ตโฟลิโอระดับนานาชาติ เช่น โครงการบูรณะสนามบินฮีทโธรว์ ลอนดอน และโครงการอื่นๆ ที่คล้ายกันอีกราว 30-50 โครงการ
ประกันสังคมไทยจะสามารถใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดให้คุ้มค่าด้วยการเข้าถึงและเรียนรู้จากกองทุนมืออาชีพ โดยไม่ต้องเสี่ยงให้มือสมัครเล่นลองผิดลองถูกกับเม็ดเงินของผู้ประกันตน
สินทรัพย์นอกตลาด โอกาสใหม่ที่ต้องใช้มืออาชีพ
ภัณฑิราเผยว่า กองทุนของ 22 ประเทศหลักล้วนมีการจัดพอร์ตโฟลิโอโดยถือครองสินทรัพย์เสี่ยงในสัดส่วน 60% และถือครองสินทรัพย์มั่นคงในสัดส่วน 40% ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วสามารถสร้างผลตอบแทนได้ราว 16.6% ต่อปี
ทั้งนี้ ประกันสังคมไทยได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศขึ้นเป็น 35% แล้ว และมุ่งเป้าแตะ 40% ภายในกลางปี 2570 ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น จึงทำให้เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา ประกันสังคมสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่า 5% เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ อยู่ที่ 5.3% เพิ่มจากปีก่อนที่มีผลตอบแทนเพียง 2.7%
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดครั้งที่ผ่านๆ มาของประกันสังคม ยังไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล จึงมีความจำเป็นต้องปรับมาตรฐานการลงทุนอย่างเร่งด่วน
เนื่องจากว่าสินทรัพย์นอกตลาดกว่า 95% ล้วนเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและมีผลประกอบการต่ำ ขณะที่สินทรัพย์คุณภาพดีมีไม่เกิน 5% ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีความรู้พื้นฐานและความถนัดเฉพาะทาง รวมถึงเครือข่ายในการเข้าถึงสินทรัพย์ดังกล่าว
บริษัทกำไรดีมักหลบอยู่นอกตลาด
ภัณฑิราเผยว่า ปัจจุบัน แนวโน้มการจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้น (IPO) ของบริษัทต่างๆ เกิดขึ้นช้าลงเรื่อยๆ เนื่องจากบริษัทที่มีผลประกอบการดีส่วนมากล้วนต้องการเก็บผลกำไรไว้กับตัว แล้วใช้การจดทะเบียนเข้าตลาดเป็นกลยุทธ์ในการวางมือแทน (Exit Plan) ดังนั้น ประกันสังคมอาจพลาดโอกาสทำกำไรได้ หากเข้าไม่ถึงสินทรัพย์นอกตลาดเหล่านี้
เพราะเมื่อพิจารณาตามสถานการณ์ในปัจจุบัน บริษัทนอกตลาดที่มีผลประกอบการดีเยี่ยม นั้นมีสัดส่วนมากกว่าบริษัทในตลาดที่มีผลประกอบการระดับท็อป อยู่ที่ 90% ต่อ 10% และอาจทำกำไรไปแล้วกว่า 200-300 เท่าก่อนจดทะเบียนเข้าตลาด
อย่างไรก็ตาม ภัณฑิรากล่าวว่า ประกันสังคมยังคงชะลอการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดอยู่ เพราะต้องการผลักดันให้ได้กรอบการลงทุนอย่างมีมาตรฐานเสียก่อน เพื่อกรองสินทรัพย์ที่ไม่ดีออกไปให้ได้มากที่สุด ซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในวาระการประชุม
หากประกันสังคมสามารถบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น ภัณฑิราคาดว่าผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาวจะอยู่ที่ 6-8% ทั้งนี้ ผลตอบแทนจะปรับเปลี่ยนไปตามสภาวะดอกเบี้ยด้วย ซึ่งภัณฑิราหวังว่าปลายปีนี้ ประกันสังคมจะสามารถทำผลตอบแทนได้ราว 7-9%
นอกจากเรื่องของการลงทุนแล้ว กองทุนประกันสังคมจำเป็นต้องอาศัยความตื่นตัวของผู้ประกันตนในระดับที่สูงขึ้น จึงจะสามารถผลักดันมาตรฐานการลงทุนให้ดีขึ้นได้ เนื่องจากว่าเสียงของผู้ประกันตนยังไม่มากพอในการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมครั้งที่ผ่านมา
โดยภัณฑิราหวังว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งยังไม่กำหนดวันอย่างชัดเจน จะมีจำนวนผู้ประกันตนมาใช้สิทธิมากขึ้น ซึ่งผู้ประกันตนจำเป็นต้องคอยติดตามข่าวสารความเป็นไปของเงินประกันสังคมอยู่ตลอด