‘มาริษ‘ เผย ไทยใช้ความอดกลั้น-วุฒิภาวะ ดึง ’กัมพูชา‘ กลับสู่โต๊ะเจรจา
ชี้ ไทยมีข้อได้เปรียบบนเวทีระหว่างประเทศ พร้อมสยบสงครามข่าวสารด้วยข้อเท็จจริง
วันนี้ (31 ก.ค. 68) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบความสำเร็จบนเวทีระหว่างประเทศในการรับมือกับสถานการณ์ไทย-พูชา แม้กัมพูชาจะพยายามใช้กลไกการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เปิดอภิปรายสมัยพิเศษ แต่สุดท้าย UNSC มีข้อพิจารณาให้เป็นไปตามการเจรจา 2 ประเทศตามกลไกที่มี และกรอบอาเซียน ไม่จำเป็นต้องอภิปรายใน UNSC อีก
ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาพยายามใช้โอกาสการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศว่าด้วยการระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธีและการดำเนินการตามแนวทาง 2 รัฐ ระหว่างการกล่าวถ้อยแถลงที่สหประชาชาชาติ โดยกล่าวพาดพิงไทยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งขัดต่อหลักการจนที่ประชุมให้กัมพูชาต้องถอนถ้อยคำออกไป โดยเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยฯ ได้โต้ตอบแล้วก่อนที่ประชุมเห็นว่า กัมพูชาอภิปรายผิดวัตถุประสงค์การประชุม
นายมาริษ กล่าวว่า การดำเนินการของประเทศไทยเป็นไปตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และอาเซียน ทำให้ไทยสามารถดึงกัมพูชากลับมาใช้กลไกทวิภาคีในการยุติการหยุดยิงได้ ขอให้มั่นใจว่าไทยจะไม่ยอมเสียอำนาจอธิปไตยเด็ดขาด และต้องการรักษาความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ
ที่ผ่านมากระทรวงฯ ดำเนินการทางการทูตทุกช่องทาง โดยชี้แจงตั้งแต่เกิดเหตุรุกราน การลอบวางทุ่นระเบิดสังหาร การโจมตีพลเรือน และการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง รวมถึงได้พบกับ โรเบิร์ต เอฟ.โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ซึ่งตนเองได้ย้ำว่าไทยต้องการให้หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ต้องได้รับความจริงใจจากกัมพูชา แต่กัมพูชากลับละเมิดข้อตกลง มีการยั่วยุให้ไทยตอบโต้ ซึ่งไทยใช้ความอดกลั้น และพยายามมองข้าม
อย่างไรก็ตาม กัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลง และใช้สงครามข่าวสาร ซึ่งไทยต้องตอบโต้ตามสมควร เพราะไทยมีข้อได้เปรียบบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศดีอยู่แล้ว และไทยได้รับคำชื่นชนต่อการใช้วุฒิภาวะที่นำไปสู่การเจรจาหยุดยิงอย่างสันติ และจริงใจ
ส่วนที่กัมพูชายังคงใช้ข่าวปลอมกล่าวหาประเทศไทย ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดข้อตกลง สอดคล้องกับแถลงการณ์ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกัมพูชา และต่อต้านการใช้ถ้อยคำที่ยั่วยุบิดเบือน ไม่สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชน แม้กัมพูชาจะยิ่งใช้สงครามข่าวสารจากความเสียเปรียบบนเวทีต่าง ๆ ประเทศไทยก็พร้อมตอบโต้ทุกกรณี เพื่อให้นานาประเทศเข้าใจถึงการละเมิดข้อตกลงของกัมพูชา
สำหรับกรณีทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัว 20 นาย ประเทศไทยให้การดูแลตามอนุสัญญาเจนีวา และให้การดูแลตามกฎบัตรสหประชาติ และอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถควบคุมตัว และปล่อยตัวได้เมื่อมีความมั่นใจว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะไม่กลับมาทำร้ายประเทศไทยอีก
นายมาริษ กล่าวถึงการนำคณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทารประจำประเทศไทย และสื่อต่างประเทศ ลงพื้นที่สังเกตการณ์ที่ จ.อุบลราชธานี พรุ่งนี้ (1 ส.ค. 68) ว่าคณะทูตจะได้เห็นสิ่งที่กัมพูชาละเมิดอำนาจอธิปไตยไทย และละเมิดข้อตกลงสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศในการโจมตีพลเรือน โรงพยาบาล และปั๊มน้ำมัน รวมถึงพิสูจน์ได้ว่าประเทศไทยรักษากติการะหว่างประเทศ
นายมาริษ กล่าวว่า ไทยต้องการใช้กลไกระหว่างสองประเทศในการเจรจา ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปถึงกฎบัตรอาเซียน เพราะการใช้ข่าวเท็จของกัมพูชาก็ถือเป็นการผิดเงื่อนไขของการหยุดยิงที่ตกลงกันที่ประเทศมาเลเซีย การที่ประเทศไทยเรียกร้องต่าง ๆ ก็เกิดแรงกดดันกับกัมพูชาอยู่แล้ว
สำหรับกระแสที่ว่าประเทศไทยมักเป็นฝ่ายตั้งรับ ต้องมองว่าการพาคณะทูตลงพื้นที่ ต้องมั่นใจด้วยว่าปลอดภัย เพราะไทยไม่ได้โจมตีพลเรือนเหมือนกัมพูชา โดยได้หารือกับกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม เพื่อพาทุกฝ่ายลงพื้นที่โดยคำนึงถึงความปลอดภัย และความลำบากของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่
“ความเร็วเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่ก็ต้องมั่นใจในข้อมูลข่าวสาร ไม่ให้โลกมองไทยว่าบิดเบือน หรือพูดได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบด้วย ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศมีวุฒิภาวะจึงต้องยึดกติกา ดังนั้นเรื่องความเร็วจึงไม่ใช่ชัยชนะ แต่การมีหลักฐานมั่นคง และภาพลักษณ์ที่ดีจะทำให้ไทยได้ทุกอยางที่ต้องการ ทั้งการหยุดยิง และการเจรจา เพื่อดึงกัมพูชากลับมาเจรจาแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคีด้วย” นายมาริษ กล่าว