พาราสาวะถี

เห็นด้วยกับ พลตรีวินธัย สุวารีโฆษกกองทัพบก ที่ชี้ว่า เป็นการสร้างภาพแบบฉาบฉวยกรณีกัมพูชารีบพาผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศและผู้สื่อข่าว เดินทางไปยังจุดผ่อนปรนการค้าช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เหมือนชิงความได้เปรียบ ต้องการชี้ให้เห็นว่าพลเรือนเขมรได้รับผลกระทบจากการสู้รบ แต่ความเป็นจริงคือ กองทัพกัมพูชาได้นำครอบครัวทหารไปตั้งชุมชนและตลาด ซึ่งละเมิด MOU 2543 ที่ทำการปลูกสิ่งก่อสร้างใกล้เส้นเขตแดนที่ MOU ห้ามไว้๑๑ขณะเดียวกัน พบว่าไม่มีประชาชนในพื้นที่เสียชีวิต เพราะก่อนการปะทะ ฝ่ายกัมพูชาได้อพยพคนออกจากพื้นที่ไปแล้ว จากการสำรวจพบมี 400 ครัวเรือน โดยบริเวณช่องอานม้า แต่เดิมเป็นด่านชายแดนชั่วคราว นับจากนี้ไปช่องอานม้าจะปิดพื้นที่ เพื่อไม่ให้มีการตั้งชุมชน-ที่อยู่อาศัยอีกต่อไป การพาคณะดังกล่าวไปของฝ่ายกัมพูชาเป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ในบริบทของพื้นที่ทางยุทธการ และบริเวณนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายทางทหาร

สำหรับประเทศไทย ไม่ใช่เพียงแค่การประสานกับผู้ช่วยทูตทหารเท่านั้น ต้องพาคณะทูตจากประเทศต่าง ๆ ลงไปในพื้นที่ทั้งจุดสู้รบ และพื้นที่พลเรือนที่ฝ่ายเขมรได้ยิงอาวุธหนักเข้าใส่จนส่งผลให้ ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตถึง 15 ศพ บาดเจ็บอีกหลายสิบคนและต้องอพยพกันกว่าแสนคน ตามที่โฆษกกองทัพบกว่า ต้องเน้นการสื่อสารเชิงคุณภาพ สิ่งที่จำเป็นจะต้องสื่อถึงประชาคมโลกคือ ความเสียหายต่อบ้านเรือนโรงเรียน โรงพยาบาล ที่ฝ่ายทหารกัมพูชาจงใจพุ่งเป้าโจมตีไปยังเป้าหมายเหล่านั้นจนมีพลเรือน ประชาชน เสียชีวิตบาดเจ็บจำนวนมาก

ชัดเจนอยู่แล้วว่า กองทัพไทยใช้ปฏิบัติการอย่างสุภาพบุรุษนักรบ นอกจากการยิงปะทะซึ่งหน้า การโจมตีเป้าหมายด้วยอาวุธสนับสนุน และเครื่องบินโจมตีก็เน้นไปที่จุดยุทธศาสตร์ทางทหาร กำหนดเป้าที่แม่นยำ ผิดกับเขมรที่เน้นการยิงไปยังพื้นที่ซึ่งรู้ดีว่าเป้าหมายเป็นพลเรือน เพราะพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอยู่ห่างจากชายแดน จุดที่มีการสู้รบไกลถึง 30 กิโลเมตร การกระทำดังกล่าว เป็นการละเมิดอธิปไตยของไทย รวมถึงขัดต่อหลักปฏิบัติทางทหารตามกฎหมายสากล และหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเจตนาละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับที่ห้ามการโจมตีพื้นที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรบ

ประเด็นที่ว่าฝ่ายกัมพูชากำลังทำตัวให้น่าสงสารบนเวทีโลก พร้อมกล่าวหาไทยละเมิดข้อตกลงหยุดยิง คงไม่ใช่สาระสำคัญที่จะต้องเต้นตามข่าวที่บิดเบือน เหมือนที่ “บิ๊กเล็ก” พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมว่าไว้ พฤติกรรมของเขมรที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนี้ตลอด โดยธรรมชาติของกัมพูชา ซึ่งตนพูดอยู่เสมอว่า ถ้าจะปรับให้เป็นเหมือนกัมพูชาไทยจะเสียเครดิตในเวทีโลก จึงต้องยืนอยู่แบบประเทศผู้เจริญ มีวุฒิภาวะ อย่าไปปรับตัวตามกัมพูชา

ที่ต้องขีดเส้นใต้คือ การฝากข้อคิดถึงสื่อมวลชนในประเทศไทย และน่าจะรวมถึงบรรดามวลชนกลุ่มเคลื่อนไหวที่หวังผลทางการเมืองต่าง ๆ ด้วย เวลาที่กัมพูชาพูดอะไร คนไทยมักจะทะเลาะกันเองไปหมด กลายเป็นเขมรทำให้คนไทยทะเลาะกัน กัมพูชาทำไอโอประสบความสำเร็จเท่ากับว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยดันไปเชื่อข้อมูลเท็จ ข่าวลวงจากฝ่ายข้าศึก ทั้งที่ ความเป็นจริงประเทศไทยทั้งกองทัพ และรัฐบาล โดยกระทรวงการต่างประเทศยึดความจริง ไม่มีการบิดเบือนเหมือนที่เขมรทำ

เรื่องนี้บิ๊กเล็กย้ำหนักแน่น การเปิดเผยข้อเท็จจริงไม่ใช่สิ่งที่ทำพร่ำเพรื่อ และ ไม่ใช่เวลาที่จะแบไต๋ให้ฝ่ายตรงข้ามได้รู้รอให้มีการไต่สวน และเผชิญหน้ากันบนเวทีที่เป็นสากล กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ ได้รวบรวมข้อมูลไว้ทุกอย่าง กัมพูชาบิดเบือนอะไรบ้าง มีภาพ และเทคโนโลยีของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศหรือจีสด้า และภาคเอกชน ซึ่งเป็นภาพถ่ายทางอากาศเมื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปชี้แจง ย่อมจะตอกฝั่งเขมรหน้าหงายได้แน่นอน

พอเข้าใจได้ในความรู้สึก ต้องการความรวดเร็ว และสะใจในภาวะที่คนไทยส่วนใหญ่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธแค้น อยากเห็นการเอาคืน ตอบโต้ที่เด็ดขาด สะสม แต่ทั้งหมดไม่สามารถที่จะทำแบบการทะเลาะเบาะแว้งทั่วไปได้ คงไม่ต่างจากกรณีที่มีข่าวฝ่ายกองทัพกัมพูชาได้พบปะกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมาเลเซีย และจะมีการตั้งคณะผู้สังเกตการณ์เข้าไปดูข้อเท็จจริงในพื้นที่ ที่ในโซเซียลฝั่งไทยพากันโจมตีทันทีว่า เขมรชิงความได้เปรียบจับมือกับฝั่งเสือเหลืองกดดันประเทศไทย

ทั้งที่ความเป็นจริงผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมาเลเซียก็จะบินมาประเทศไทยต่อกัมพูชาอยู่แล้ว แน่นอนว่า ผลของการหารือกับ พลโทบุญสิน พาดกลางแม่ทัพภาคที่ 2 ที่กองบิน 21 จังหวัดอุบลราชธานี และการหารือกับ พลโทอมฤต บุญสุยาแม่ทัพภาคที่ 1 ที่กองทัพภาคที่ 1 มีบทสรุปที่ไม่ต่างจากการพบกับผู้นำทหารเขมรคือ จะเป็นสื่อกลางในการทำให้เกิดความสงบและสันติสุขในชายแดนไทย–กัมพูชา เตรียม จัดตั้งทีมผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศหรือ DA TEAM และ ทีมสังเกตการณ์อาเซียน ASEAN Monitoring Team เพื่อสังเกตการณ์หยุดยิงและรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กลุ่มประเทศอาเซียนได้รับทราบข้อเท็จจริง

แน่นอนว่า กระบวนการใดก็ตามที่ดำเนินไปบนความร่วมมือที่ถูกต้อง รัฐบาล และกองทัพไทยพร้อมปฏิบัติตามอย่างเต็มที่อยู่แล้ว จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ก่อนเกิดการปะทะ กระทั่งเข้าสู่โหมดการสู้รบ ฝ่ายไทยได้ทำตัวเป็นสุภาพบุรษ ดำเนินการตามกรอบกติกาสากลอย่างเคร่งครัดยึดหลักมนุษยธรรมเป็นสำคัญ ขณะที่ อีกฝ่ายใช้เกมสกปรก ทำตัวไร้เกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรีทุกเวทีที่ขึ้นไปพูดนั้น ล้วนแต่แสดงละคร ทำตัวให้น่าสงสาร เข้าทำนองตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ตลอดนั่นเอง

พฤติกรรมแบบนี้ถ้าไม่อย่างหนาไม่มีวันทำได้ เหมือนกับที่ทางแม่ทัพกัมพูชาขอส่งทหารที่ได้รับบาดเจ็บมารักษาในโรงพยาบาลประเทศไทย จนแม่ทัพภาคที่ 2 บอกปัดไปว่า “ไม่มีอำนาจทำตามคำร้องขอ”ทั้งที่เป็นคนเปิดฉากสู้รบ มิหนำซ้ำ ยังโจมตีโรงพยาบาล 4 จังหวัดชายแดน จนต้องปิดทำการไปถึง 11 แห่ง ยังมีหน้ามาขอความเห็นใจ ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี ถือเป็นจังหวะที่ผู้นำทางทหารของกองทัพไทยคงต้องเล่นบทโหดบ้างแล้วกระมัง หลังจากที่ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษมาโดยตลอด

อรชุน