นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท กำไรประชาชนหรือภาระการคลัง?
รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เดินหน้านโยบายลดค่าครองชีพหรือจุดปะทะใหม่ทางการเมือง
แนวนโยบายที่ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน กำลังกลายเป็นหัวใจของข้อถกเถียงในทางการเมือง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งเริ่มต้นจากคำมั่นสัญญาในช่วงเลือกตั้ง ได้ถูกผลักดันอย่างจริงจังในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ก่อนจะกลายเป็นเป้าการวิพากษ์จากฝ่ายค้านที่ตั้งคำถามถึงภาระงบประมาณและข้อสงสัยเรื่องการเอื้อผลประโยชน์ให้กลุ่มทุนเอกชน ในขณะที่รัฐบาลยืนยันหนักแน่นว่านี่คือ “การลงทุนเพื่อคนส่วนใหญ่” และ “การคืนสิทธิขั้นพื้นฐานด้านการเดินทางให้ประชาชน”
ก่อนเลือกตั้ง 2566 นโยบายรถไฟฟ้าราคาถูกกลายเป็นหมุดหมายใหม่
ช่วงก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2566 หลายพรรคการเมืองได้หยิบยกประเด็นค่าครองชีพในเมืองหลวงมาเป็นหัวใจสำคัญของการหาเสียง หนึ่งในนั้นคือการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ซึ่งถูกมองว่าเป็นต้นทุนที่ถ่วงชีวิตคนทำงานในเมือง พรรคเพื่อไทยประกาศชัดว่า หากได้เป็นรัฐบาล จะผลักดันนโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” โดยไม่จำกัดจำนวนสถานีหรือต้องเปลี่ยนสายกี่ครั้ง ตราบใดที่ยังอยู่ในระบบ ก็จะจ่ายไม่เกิน 20 บาทต่อเที่ยว ขณะที่อดีตพรรคก้าวไกลเสนอแนวทางคล้ายกันในกรอบราคาที่แตกต่าง โดยใช้กลไกอุดหนุนจากรัฐเป็นเครื่องมือสำคัญ
กลางปี 2567 รัฐบาลเร่งศึกษาความเป็นไปได้และเริ่มต้นโครงการนำร่อง
ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยเริ่มขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว โดยเริ่มต้นจากการศึกษารูปแบบการอุดหนุนที่เหมาะสม ซึ่งต้องไม่ขัดกับสัญญาสัมปทานที่เอกชนถืออยู่ในหลายสาย ทั้งนี้ รัฐได้เริ่มต้นนำร่องในสายสีแดงและสายสีม่วง ซึ่งพบว่ามีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้รัฐบาลตัดสินใจขยายผลและเร่งเตรียมการสำหรับการเปิดใช้งานนโยบายนี้ในวงกว้าง
กรกฎาคม 2568 ข้อถกเถียงเริ่มปรากฏชัดจากฝ่ายค้าน
ในช่วงกลางปี 2568 เมื่อรัฐบาลประกาศว่าจะเริ่มใช้นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในวันที่ 1 ตุลาคม โดยครอบคลุม 8 สายหลักในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภายใต้เงื่อนไขว่าผู้โดยสารต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” พร้อมยืนยันตัวตน ฝ่ายค้านเริ่มแสดงท่าทีคัดค้านมากขึ้น โดยเฉพาะพรรคประชาชนที่ตั้งข้อสงสัยว่า งบประมาณอุดหนุนปีละกว่า 10,000 ล้านบาทอาจกลายเป็นภาระทางการคลัง และตั้งคำถามว่าการช่วยจ่ายส่วนต่างค่าโดยสารให้เอกชนที่ถือสัมปทานอยู่ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ทุนใหญ่หรือไม่
11 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายรัฐบาลออกมาชี้แจงต่อเสียงวิจารณ์
ในช่วงที่กระแสวิพากษ์ดังขึ้น นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชี้แจงว่าแนวทางดังกล่าวไม่ใช่การอุดหนุนทุน แต่เป็นการช่วยคนทำงานที่ต้องจ่ายค่าเดินทางเดือนละหลายพันบาท โดยรัฐมีแผนจัดสรรงบประมาณอย่างชัดเจน พร้อมมาตรการควบคุมผ่านระบบลงทะเบียนสิทธิ์ และมองว่านี่คือการลงทุนที่ส่งผลเชิงบวกทั้งต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เพียงตัวเลขในบัญชีงบประมาณ
ในช่วงเวลาเดียวกัน พรรคเพื่อไทยออกโรงโต้กลับฝ่ายค้าน
นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนางสาวขัตติยา สวัสดิผล รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน X โดยตั้งคำถามกลับไปยังพรรคประชาชนว่า ทำไมตอนหาเสียงถึงเคยพูดเรื่อง “อุดหนุนค่ารถไฟฟ้า” แต่เมื่อถึงเวลาทำนโยบายจริงกลับออกมาต่อต้าน พร้อมย้ำว่าการอุดหนุนบริการขนส่งสาธารณะเป็นแนวปฏิบัติทั่วไปในต่างประเทศ และหากไม่ใช้เงินรัฐช่วยเหลือประชาชน จะลดต้นทุนการเดินทางอย่างเป็นธรรมได้อย่างไร
ทั้งสองยังเน้นย้ำด้วยว่า นโยบายนี้ไม่ได้หมายถึงการโอนเงินให้เอกชนโดยตรง แต่คือการบริหารต้นทุนร่วมกัน เพื่อให้ประชาชนได้รับราคาที่เป็นธรรม และสร้างสภาพแวดล้อมการเดินทางที่ปลอดภัย สะอาด และเชื่อมต่อกันได้ทั่วทั้งเมือง
1 ตุลาคม 2568 วันเริ่มใช้นโยบายในชีวิตจริง
รัฐบาลประกาศแผนเริ่มใช้นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 โดยในระยะแรกจะครอบคลุม 8 สายหลักและเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านแอป “ทางรัฐ” โดยผู้ที่มีสิทธิ์จะต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทยและผูกบัญชีจ่ายเงินไว้กับบัตรโดยสาร เช่น Rabbit Card หรือบัตร EMV เพื่อให้ระบบสามารถหักส่วนลดค่าโดยสารให้โดยอัตโนมัติ
แม้จะยังมีคำถามเรื่องความยั่งยืนของงบประมาณ แต่รัฐบาลระบุว่ากำลังพิจารณารูปแบบกองทุนอุดหนุนในระยะยาว รวมถึงอาจปรับโครงสร้างสัมปทานใหม่ในอนาคต เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความเท่าเทียมและไม่สร้างภาระทางการคลังเกินควร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ข่าวดี! รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ดีเดย์ 1 ต.ค. เปิดลงทะเบียนผ่านแอปฯ "ทางรัฐ" ส.ค.นี้
- "รถไฟฟ้า 20 บาท" พร้อม ลงทะเบียนส.ค. เปิดวิธียืนยันตัวตน และ บัตรที่ต้องมีที่นี่
- รถไฟฟ้า 20 บาท! ดีเดย์ลงทะเบียนผ่านแอปฯ "ทางรัฐ" ส.ค. เช็กเงื่อนไขที่นี่
- พรรคเพื่อไทย ยืนยันภารกิจปกป้องอธิปไตย-ผลประโยชน์ของประชาชนชาวไทย
- เปิด 3 แนวทางศึกมหาดไทย เพื่อไทย–ภูมิใจไทยเดินเกมต่ออย่างไร