ภาษีทรัมป์ดันอุตฯโลจิสติกส์ไทยบูม หลังนักลงทุนย้ายฐานการผลิต
นายธิติ คัณธามานนท์ ประธานบริหาร SIAMJNK Group เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่องทั้งจากปัญหาสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา - จีน ,การประกาศอัตราภาษีของสหรัฐอเมริกากับคู่ค้าที่ประเทศไทยเพิ่งได้บทสรุปที่ 19% รวมถึงปัญหาสถานการณ์สงครามในแต่ละภูมิรัฐศาสตร์ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการค้าโลก พฤติกรรมผู้บริโภค
ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มจะผันผวนยิ่งขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ จากการปรับเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือสินค้า และการขนส่งทางอากาศที่ต้องหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งในวิกฤติดังกล่าวถือว่ายังมีโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของไทย โดยจะทำให้นักลงทุนทั้งในประเทศผู้ส่งออก และนำเข้าสหรัฐอเมริกาโยกย้ายฐานการผลิตครั้งสำคัญ
โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีพื้นฐานระบบสาธารณูปโภค และฐานแรงงานรองรับมีตัวแปรสำคัญคือกลุ่มทุนจีน และอินเดีย สองประเทศผู้ผลิตสำคัญของโลก ที่อัตราภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐอเมริกาของจีนอยู่ที่ 30%
ขณะที่อินเดียขยับขึ้นไปแตะที่ 50% อีกทั้งทำเลของไทยตั้งอยู่ใจกลางภาคพื้นอินโดจีน จะได้รับอานิสงส์นี้ไปด้วย ทั้งเป็นทำเลเก็บสินค้าเพื่อการกระจายสู่ภูมิภาค หรือการลงทุนตั้งฐานการผลิตเพื่อส่งต่อ คู่ขนานกับเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทยที่มีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใน 10 ปีนี้ จะยิ่งช่วยทำให้ต้นทุน Logistic ของไทยลดลง ทำให้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทยดียิ่งขึ้นในภูมิภาคอาเซียน
สำหรับภายในประเทศไทยเอง แม้ภาพรวมดูเหมือนว่าเศรษฐกิจจะดูชะลอตัว แต่อานิสงส์การย้ายฐานการผลิต ส่งผลถึงไทยโดยตรงต่ออุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในฐานะกลุ่มประเทศผู้นำของอาเซียน โดยมีแรงสนับสนุนจากภาคธุรกิจ E – commerce ที่มีการขยายตัวต่อเนื่องในรายที่สามารถแข่งขันได้ ,การย้ายฐานการผลิต และการเติบโตของสังคมเมือง
การเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีโดยเฉพาะด้าน AI เป็นตัวเร่งให้เกิดการพัฒนาคลังสินค้าให้มีมาตรฐาน ส่วนในรายที่มีความพร้อมในการพัฒนานั้นเริ่มมองหาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดต้นทุนและสร้างมาตรฐานให้ดียิ่งขึ้น ทิศทางหลักจะมีการเปลี่ยนผ่านจากคลังสินค้าแบบดั้งเดิมไปสู่คลังสินค้าสมัยใหม่
ส่วนความจำเพาะของตลาดคลังสินค้า ลูกค้าจะมีความต้องการพื้นที่คลังสินค้ามีความหลากหลาย มีความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ความผันแปรทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคและสถานการณ์เศรษฐกิจ
นายธิติ กล่าวอีกว่า ภายใน 3 ปีนี้ SIAMJNK จะขยายฐานลูกค้าไปในภูมิภาคอาเซียน โดยล่าสุดได้มีการศึกษาตลาดคล้ายคลึงกับการขยายของสังคมเมืองกรุงเทพ อย่างสิงคโปร์ ที่มีพื้นที่จำกัดในชุมชนเมือง แต่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยี รวมถึงการสนับสนุนของภาครัฐให้เกิดการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับเวียดนาม ประเทศคู่ค้าที่มีอัตราการเติบโตจีดีพี (GDP) ดีที่สุดของภูมิภาคอาเซียน ด้วยการเติบโตของสังคมเมืองที่ขยายในทุกทิศทุกทาง นั่นหมายความว่าที่นั่นต้องการระบบโลจิสติกส์ที่มีคุณภาพและมากประสบการณ์อย่าง SIAMJNK
นายธิติ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาได้ใช้นวัตกรรม WLUBHOUSE เข้ามาประยุกต์ในการให้บริการคลังสินค้าตามความต้องการผู้เช่าใน 3 ประเด็นหลัก คือ Location , Security , Facilities ควบคู่ไปกับการออกแบบที่เปลี่ยนคลังสินค้าให้แตกต่างไปจากเดิม และบริการที่ยืดหยุ่นตามความต้องการของผู้เช่า เพื่อสร้างธุรกิจให้เติบโต