ครม.ปิดจ๊อบ‘อาวุธหมื่นล้าน’ ไขปม‘ขีปนาวุธ’กัมพูชาชะงัก
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี 5 ส.ค.2568 ที่มี ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้พิจารณาอนุมัติหลายโครงการสำคัญของกองทัพ ซึ่งเป็นทั้งโครงการใหม่ และโครงการเก่า
โครงการของ “กองทัพอากาศ” จัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตี Gripen E/F ระยะที่ 1 จำนวน 4 เครื่อง วงเงิน 19,500 ล้านบาท ใช้งบฯผูกพัน 5 ปี คือ 2568-2572 โดยครม. ได้มอบหมาย พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ เดินทางไปประเทศสวีเดน เพื่อลงนามกับบริษัท SABB โดย รมว.กลาโหม สวีเดน จะเข้าร่วมพิธีในฐานะสักขีพยาน วันที่ 25 ส.ค.นี้
สำหรับโครงการนี้ มีข้อเสนอหลัก หรือ เมนแพ็กเกจ คือเครื่องบิน E (1 ที่นั่ง) 3 เครื่อง และเครื่องบิน F (2 ที่นั่ง) 1 เครื่อง พร้อมระบบรองรับ รวมทั้งระบบปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ สามารถใช้อาวุธอากาศสู่อากาศระยะไกลกว่าสายตาแบบ Meteor รวมถึงอาวุธอื่นๆ และระบบสนับสนุนอุปกรณ์ภาคพื้นและอะไหล่ ขณะเดียวกันยังรวมถึงการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และนักบิน
ถือเป็นโครงการสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของกองทัพอากาศ เพื่อมุ่งสู่การเป็นกองทัพอากาศที่แข็งแกร่ง พร้อมปกป้องอธิปไตย ตามสมุดปกขาว ทดแทนเครื่องบิน F-16 จากกองบิน 1 ที่ใช้มากกว่า 37 ปี
โครงการนี้แบ่งเป็น 3 ระยะ ในกรอบเวลา 10 ปี ร่วม 12 เครื่อง มูลค่า 60,000 ล้านบาท และในระหว่างนี้ กองทัพอากาศยังต้องใช้ F-16 ปฏิบัติภารกิจไปอีกประมาณ 10 ปี
"ผมเตรียมเดินทางไปลงนามกับบริษัท SABB รวมถึงหัวหน้าหน่วยด้านยุทธภัณฑ์ทางทหาร โดย รมว.กลาโหม สวีเดน เข้าร่วมในพิธีลงนามในฐานะสักขีพยาน ซึ่งพิธีจะจัดขึ้นในวันที่ 25 ส.ค.นี้ ที่ประเทศสวีเดน ทุกอย่างเป็นไปตามแนวทางที่กำหนด กองทัพอากาศ ได้เตรียมการในเรื่องสัญญาไว้หมดแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน และกรอบกติกาสากลของสหประชาชาติ และเป็นไปตามระยะเวลาเหมาะสม ไม่มีสิ่งใดต้องน่ากังวล ซึ่งรัฐบาลก็เข้าใจในเรื่องของความมั่นคง" พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ.เปิดเผย
เช่นเดียวกับ “กองทัพเรือ” ครม.ได้อนุมัติหลักการโครงการจัดหา “เรือฟริเกต” จำนวน 2 ลำ วงเงิน 3.5 หมื่นล้าน แต่ในงบประมาณปี 2569 ให้ซื้อเพียง 1 ลำก่อน วงเงิน 1.75 หมื่นล้าน
ตามแผนยุทธศาสตร์กองทัพเรือที่ได้วางกำลังทางเรือฝั่งอ่าวไทย-อันดามัน ต้องมีเรือฟริเกตปฏิบัติงานครบ 8 ลำ ในปี 2580
ปัจจุบันมีอยู่ 4 ลำ ได้แก่ เรือหลวงภูมิพล เรือหลวงตากสิน เรือหลวงนเรศวร เรือหลวงรัตนโกสินทร์ (ได้ขยับชั้นเป็นเรือฟริเกต)
หลังจากนี้ กองทัพเรือ จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมา พิจารณาคัดเลือกแบบ โดยมี 5 บริษัทต่างชาติ ที่อยู่ในลิสต์ ประกอบด้วย เนเธอร์แลนด์ เกาหลีใต้ เยอรมนี สเปน อิตาลี เมื่อได้แบบที่ต้องการแล้ว จะนำเข้า ครม.เพื่ออนุมัติ และเดินทางไปทำสัญญาต่อไป
“เรือดำน้ำขาดเครื่องยนต์” ล่าสุดได้ข้อสรุปเช่นกัน ครม.อนุมัติให้มีการ“แก้ไขสัญญา” เปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์เรือดำน้ำจีน CHD 620 และขยายระยะเวลาการส่งมอบ พร้อมมอบอำนาจให้ผู้บัญชาการทหารเรือไปลงนามในการแก้ไขข้อตกลง
ทั้งนี้ คาดว่าอาจต้องใช้เวลาพอสมควรในการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ส่งผลให้การส่งมอบเรือดำน้ำลำแรก อาจต้องเลื่อนไปถึงปี 2573 และการขยายสัญญา ก็ต้องมากกว่า 1,200 วัน จากเดิมที่ตั้งเอาไว้
โครงการซื้อเรือดำน้ำ S26T ซึ่งกองทัพเรือได้ลงนามในสัญญากับบริษัท CSOC สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ต่อเรือดังกล่าว เมื่อปี 2560 และมีแผนจะส่งมอบลำแรกในปี 2566
แต่ขณะนั้นติดปัญหาที่ทางจีนไม่สามารถหาเครื่องยนต์ MTU 396 ของเยอรมนี ที่ระบุไว้ตามสัญญามาติดตั้งให้ได้ ทำให้การต่อเรือต้องหยุดชะงักไปในช่วงปี 2564 ปัจจุบันดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว 64% โดยอนุมัติจ่ายเงินไปแล้ว 10 งวด จากทั้งหมด 18 งวด วงเงินรวม 7,700 ล้านบาท และยังคงค้างจ่าย 40% วงเงิน 5,500 ล้านบาท
และตั้งแต่ปี 2564 ไทยและจีนได้เจรจาจนได้ทางออกในการแก้ไขปัญหา โดยเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ CHD 620 ที่ผลิตโดยจีน หลังจากมีการไปทดสอบประสิทธิภาพ และดูผลการปฏิบัติการของเรือดำน้ำปากีสถานที่ติดตั้งเครื่องยนต์จีนเช่นเดียวกัน จนเกิดความมั่นใจ
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ปัจจัยแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ ในการขยายอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ส่งผลต่อการตัดสินใจเดินหน้าโครงการเรือดำน้ำของรัฐบาลไม่น้อย
เพราะก่อนหน้านี้ ภูมิธรรม ยอมรับว่า เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้ทวงถามคำตอบจากประเทศ เรื่องเรือดำน้ำมาหลายครั้ง ซึ่งอาจเป็นเหตุผลหนึ่ง ในการประกอบการตัดสินใจของรัฐบาล
นอกจากนี้ มีรายงานข่าวด้วยว่า เหตุการปะทะบริเวณชายแดน ระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา เมื่อ 24-28 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา
มีการตรวจพบความเคลื่อนไหวของ “ขีปนาวุธ PHL-03” ระยะไกล 130 กิโลเมตรของกัมพูชา แต่ไม่มีการยิงข้ามมาแต่อย่างใด เนื่องจากจีนสั่งระงับ
ด้วยท่าทีของจีน ในการยืนยันกับผู้ช่วยทูตทหารไทยประจำกรุงปักกิ่ง ว่า ไม่เคยส่งยุทโธปกรณ์ใดๆ ให้กับกองทัพกัมพูชา เพื่อใช้โจมตีไทย และยุทโธปกรณ์ของจีนที่มีอยู่ในกัมพูชา ล้วนเป็นผลจากความร่วมมือในอดีต อันเป็นเครื่องยืนยันกระแสข่าวว่า จีนไม่อนุญาตให้กัมพูชาใช้ขีปนาวุธ PHL03 โจมตีไทย
ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นเหตุที่ฝ่ายการเมืองไฟเขียวงบประมาณด้านความมั่นคงให้กองทัพอย่างไร้ข้อแม้ เพราะเมื่อเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิด ความพร้อมของยุทโธปกรณ์ และขีดความสามารถในการปกป้องอธิปไตยย่อมเป็นความจำเป็น
ที่สำคัญการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพไทย นอกจากเป็นความต้องการด้านยุทธการแล้ว ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ การขยายอิทธิพลของมหาอำนาจ เพื่อรักษานโยบายการสร้างความสมดุลของไทยเช่นกัน