มหากาพย์เรือดำน้ำสู่การอนุมัติใช้เครื่องยนต์จีน คำถามความปลอดภัย กับบทเรียนความผิดพลาดของกองทัพเรือ
ในที่สุดมหากาพย์เรือดำน้ำจีนไม่มีเครื่องยนต์ก็สิ้นสุดลงตรงนี้ หลังคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กองทัพเรือแก้ไขสัญญาโดยยอมรับการใช้งานเครื่องยนต์จีน CHD620 ที่จีนเพิ่งพัฒนาใหม่และยังไม่เคยใช้ ขยายสัญญาอีกราว 5 ปี พร้อมจ่ายเงินต่ออีกราว 5 พันล้านบาทเพื่อให้กองทัพเรือได้รับมอบเรือดำน้ำ ซึ่งถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดอีก กองทัพเรือจะได้รับมอบเรือดำน้ำ S26T ในปี 2573 หรือ 13 ปีหลังจากลงนามในสัญญา
จริงๆ เรื่องเรือดำน้ำนี้คนไทยน่าจะรู้รายละเอียดมาค่อนข้างมากแล้ว เพราะมีการนำเสนอกันอย่างเข้มข้น เราจึงไม่อยากย้อนกลับไปเล่าอีกรอบ แต่เราอาจจะต้องมาคิดว่า จะทำอย่างไรให้เราสามารถใช้เรือดำน้ำลำนี้ได้อย่างปลอดภัยและไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก
กล่าวคือเครื่องยนต์ CHD620 นั้นยังเป็นเครื่องยนต์ที่ใหม่มาก จีนก็ยังไม่เคยใช้ ตอนนี้มีแต่ปากีสถานที่ใช้งานไปไม่กี่เดือน แม้ว่าตามสเป็กที่ทดสอบทางวิศวกรรมจะถือว่าผ่าน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์นั่นคือความน่าเชื่อถือและความเสียหายตามการใช้งาน ซึ่งยังไม่มีใครรู้จนกว่าจะใช้งานเครื่องยนต์ไปถึงระยะเวลาหนึ่ง ตรงนี้ไทยกับปากีสถานจะใช้งานก่อนจีนแน่นอน ดังนั้นเราจะเป็นผู้ที่ทดลองความน่าเชื่อถือของเครื่องยนต์ชุดนี้ให้กับจีน ซึ่งกองทัพเรือไทยต้องทำงานกับจีนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะสามารถตรวจพบลักษณะอาการผิดปกติของเครื่องยนต์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตและแก้ไขได้อย่างทันท่วงที
อีกประเด็นหนึ่งก็คือความลับของตัวเรือ ซึ่งอุปกรณ์และการออกแบบตัวเรือดำน้ำนั้นปกติมักจะเป็นความลับที่แต่ละประเทศจะออกแบบให้แต่ละผู้ใช้เป็นการเฉพาะตามความต้องการ แต่ช่วงที่ผ่านมาเมื่อยังไม่มีความชัดเจนว่ากองทัพเรือจะผลักดันให้รัฐบาลยอมแก้ไขสัญญาได้หรือไม่ อู่ต่อเรือจีนจึงพยายามนำเรือดำน้ำ S26T ของไทยที่ยังต่อไม่เสร็จไปเสนอขายให้หลายประเทศทั่วโลก เผื่อว่าจะได้มีทางออกในกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขสัญญาได้จริงๆ ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าอู่ต่อเรือจีนไปบอกหลายประเทศทั่วโลกหมดแล้วถึงข้อมูลทางเทคนิคของเรือลำนี้ ความลับที่ควรจะเป็นความลับมันก็ไม่ลับอีกต่อไป ตรงนี้กองทัพเรือต้องมีมาตรการในการจัดการ อาจจะต้องออกแบบใหม่บางจุด หรือติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าก็คงจะต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้นยังเป็นบทเรียนซ้ำๆ อีกครั้งในการบริหารสัญญา เพราะที่ผ่านมากองทัพเรือมีปัญหาในการบริหารสัญญาจัดซื้อแทบจะทุกโครงการ แต่ละโครงการเต็มไปด้วยการร้องเรียน ความล่าช้า หรือได้ของมาแล้วมีปัญหา ซึ่งแสดงให้เห็นว่านี่คือปัญหาด้านการบริหารอย่างแท้จริง อย่างในโครงการเรือดำน้ำนี้ก็เป็นที่น่าสงสัยว่า กองทัพเรือได้ขอเอกสารอนุญาตส่งออกหรือ Export License จากอู่จีนก่อนจะเซ็นสัญญาหรือไม่ เพราะโดยปกติแล้ว การจัดหาอาวุธนั้น ผู้ผลิตจะต้องนำเอกสาร Export License มาแสดงก่อนเพื่อความมั่นใจว่าผู้ผลิตได้รับอนุญาตในการจัดหาชิ้นส่วนสำคัญแล้วจึงจะลงนามเพื่อไม่ให้มีปัญหาภายหลัง ซึ่งถ้าไม่ได้ขอเอกสารนี้จากจีนก่อนก็แปลว่าคณะกรรมการคัดเลือกแบบอาจปฏิบัติงานผิดพลาด
รวมถึงข้ออ้างที่บอกว่า การที่สหภาพยุโรปคว่ำบาตรไม่ขายเครื่องยนต์เรือดำน้ำให้กับจีนนั้นเกิดขึ้นทีหลังการลงนามในสัญญา ซึ่งชัดเจนว่าข้ออ้างนี้ไม่เป็นความจริง เพราะการคว่ำบาตรไม่ขายเทคโนโลยีทางทหารของยุโรปให้กับจีนนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1989 หลังเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน และไม่เคยยกเลิกเลย
ส่วนเครื่องยนต์เรือดำน้ำก็ถือว่าเป็นยุทธภัณฑ์ ซึ่งอยู่ในรายการห้ามส่งออกมาตั้งแต่ปี 2000 และมาแก้ไขให้ชัดเจนอีกครั้งในปี 2018 แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นการแก้ไขทีหลังการเซ็นสัญญา เพราะเยอรมนีไม่อนุญาตให้ส่งออกเครื่องยนต์เรือดำน้ำให้จีนมาตั้งแต่ปี 2000 แล้ว เรื่องนี้มีเอกสารหลักฐานชัดเจนมากที่เยอรมนี
แต่สุดท้าย ก็เข้าใจว่า ถ้าพูดข้อมูลนี้ออกไป มันก็จะทำให้ชัดเจนว่ากองทัพเรือลงนามในสัญญาทั้งที่ควรจะรู้ว่าเครื่องยนต์จากเยอรมนีจะไม่สามารถส่งมอบได้เพราะการคว่ำบาตรเกิดขึ้นก่อนการลงนาม และก็จะนำมาสู่การที่จะต้องยกเลิกสัญญาหรือแม้แต่ต้องมีคนรับผิดชอบ ดังนั้นถ้าจะดันโครงการนี้ต่อ ก็ต้องเลือกพูดว่าเยอรมนีคว่ำบาตรหลังจากการลงนามในสัญญาโดยยกการแก้ไขข้อกำหนดในปี 2018 มาเป็นข้ออ้าง ทั้งที่ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น
ดังนั้นต่อไป การบริหารสัญญาต้องรอบคอบกว่านี้ เพื่อไม่ให้ราชการและรัฐบาลเสียหาย เพราะนอกจากโครงการนี้ ยังมีอีกหลายโครงการในกองทัพเรือที่เกิดปัญหาในลักษณะเดียวกันกับเรือดำน้ำแต่ยังไม่เป็นข่าวเท่านั้น หรือโครงการที่แม้จะประกาศผู้ชนะแล้วแต่ก็มีปัญหาร้องเรียนจากความไม่ชัดเจนต่างๆ เช่น โครงการปรับปรุงเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งชุดเรือหลวงปัตตานี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองทัพเรือกำลังจะต้องทำโครงการมูลค่าสูงอีกในปีหน้า คือโครงการจัดหาเรือฟริเกตมูลค่า 1.75 หมื่นล้านบาท ซึ่งถ้ายังบริหารโครงการแบบนี้ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาอีก
เพราะฉะนั้น นี่คือโจทย์ที่สำคัญที่กองทัพเรือต้องทำทั้งแก้ปัญหาและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของตัวเอง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนที่เป็นเจ้าของเงินภาษีที่แท้จริง
ภาพ: Coupé / X