ค่าเงินบาทปี 68 แนวโน้มแข็งค่าขึ้น 6.3% เฉลี่ย 33.1 บาท/ดอลลาร์
นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในปี 2568 คาดว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 33.1 บาทต่อดอลลาร์ ในกรอบการคาดการณ์ที่ 32.6 – 33.6 บาทต่อดอลลาร์ ตัวเลขนี้เป็นการปรับปรุงจากประมาณการครั้งก่อนเมื่อเดือนเม.ย. 2568 ที่คาดการณ์ไว้ที่ 35.15 บาทต่อดอลลาร์ โดยเป็นการแข็งค่าขึ้นจากปี 2567 ที่เฉลี่ย 35.3 บาทต่อดอลลาร์
โดยแนวโน้มการแข็งค่าของค่าเงินบาทนี้ยังสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่รวบรวมโดย Bloomberg, SCB และ Goldman Sachs ซึ่งต่างมองว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องตลอดปี 2568 โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4
ทั้งนี้ ดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง (Nominal Effective Exchange Rate - NEER) เมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าสำคัญ 15 ประเทศ ในปี 2568 คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 117.9 จุด ซึ่งเป็นการแข็งค่าขึ้น 5.5% จากปีก่อนหน้า การแข็งค่านี้ได้รับแรงหนุนหลักจากค่าเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง
ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการแข็งค่าของค่าเงินบาท การแข็งค่าของค่าเงินบาทในปี 2568 ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลักหลายประการ โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐโดยเฉพาะมาตรการ "Reciprocal Tariff" ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในสินทรัพย์ที่อ้างอิงดอลลาร์ คาดว่าประเทศไทยจะสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงผ่อนปรนภาษีนำเข้ากับสหรัฐได้ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจและการส่งออกของไทยได้รับผลกระทบในทิศทางที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ความเสี่ยงของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในสหรัฐและความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง
อีกทั้งค่าเงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าขึ้นมากกว่าสกุลเงินหลักอื่นในภูมิภาาค โดยเฉพาะในช่วงปลายปีจากแรงหนุนของฤดูกาลท่องเที่ยว
ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม และเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด ได้แก่ นโยบายภาษีของสหรัฐฯ และผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบแล้วย้ายตลาดมายังไทยมากขึ้น, ทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในและนอกประเทศ เช่น สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งประเมินว่ามีผลกระทบจำกัดเฉพาะพื้นที่ชายแดน ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชน และการย้ายฐานการลงทุนและการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐ