นิสัย Debbie Downer คิดลบ ขี้บ่น ไม่ช่วยแก้ปัญหา ทำงานกี่ปีก็ไม่โต
ในโลกการทำงานออฟฟิศ ไม่ว่าจะบริษัทไหนๆ ก็ตาม หลายคนมักพบเจอเพื่อนร่วมงานบางคนที่มีพฤติกรรมชอบคิดลบ ทำบรรยากาศทีมเสีย เวลาเจอปัญหาก็เอาแต่บ่น ไม่เคยช่วยทีมแก้ปัญหาอะไร ใครเคยเจอคนลักษณะนี้ รู้ไว้เลยคุณไม่ได้คิดมากไปเอง แต่เป็นพฤติกรรมเชิงลบที่ผู้เชี่ยวชาญด้าน HR ชี้ว่ามีอยู่จริง
ยืนยันจาก ดอนนา มอร์ริส (Donna Morris) รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของ Walmart เผยพฤติกรรมหนึ่งที่เธอมองว่าเป็น “สัญญาณอันตราย” ในที่ทำงาน และอาจปิดโอกาสเติบโตในสายอาชีพได้ทันที คือการเป็นคนที่มีทัศนคติลบตลอดเวลา เป็นตัวถ่วงบรรยากาศของทีมงาน หรือที่เรียกว่า “Debbie Downer”
มอร์ริส วัย 57 ปี ทำงานในตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ปี 2020 เธอมีประสบการณ์ในการคัดเลือกบุคลากรและดูแลการทำงานของพนักงานกว่า 2.1 ล้านคนทั่วโลก ก่อนหน้านี้เธอเคยใช้เวลากว่า 17 ปีในตำแหน่งผู้นำหลายบทบาทที่ Adobe ซึ่งทำให้เธอสั่งสมประสบการณ์ในการสังเกตพฤติกรรมที่เป็นสัญญาณอันตรายในองค์กร และนำมาบอกต่อแก่ผู้นำองค์กรและหัวหน้าทีมให้ระมัดระวัง
Donna Morris รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ HR ของ Walmart
“ไม่มีใครอยากรับคนที่เป็น Debbie Downer คนแบบนี้มักจะมองทุกอย่างในแง่ลบ เวลาเจอปัญหาก็เอาแต่บ่น แต่ไม่เสนอวิธีแก้ ฉันชอบคนที่แม้จะมาพร้อมปัญหาแต่ก็นำแนวทางการแก้ไขปัญหามาให้ด้วยมากกว่า” มอร์ริส บอกเล่าผ่าน CNBC Make It
ปัดตกไอเดียคนอื่น-วิจารณ์เป้าหมายทีม จุดเด่น Debbie Downer
เธออธิบายเพิ่มเติมว่า พนักงานประเภทนี้ อาจเป็นคนที่คอยปัดตกไอเดียของคนอื่นในทีม วิจารณ์เป้าหมายของทีม หรือขัดขวางโครงการใหม่ๆ ซึ่งทำให้เสียโอกาสสร้างความไว้วางใจกับหัวหน้า และทำให้ยากต่อการก้าวหน้าเติบโตในเส้นทางอาชีพ
ในทำนองเดียวกัน จูเลียต แฮน (Juliette Han) นักประสาทวิทยาศาสตร์จากฮาร์วาร์ด ก็เคยอธิบายถึงกลุ่มคนแบบ Debbie Downer ไว้เช่นกันว่า คนประเภทนี้มักสนับสนุนคุณแค่ในขอบเขตที่จำกัด และอาจห้ามไม่ให้คุณเข้าร่วมโครงการหรือสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ ในที่ทำงาน หากสิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์กับพวกเขาโดยตรง
อย่างไรก็ตาม มอร์ริสย้ำว่า เธอไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องมองโลกสวยเกินจริง เพราะการแสร้งว่าทุกอย่างดีแม้จะมีปัญหาหนัก ก็ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ และถ้าคุณรู้สึกว่ามีแต่พลังลบตลอดเวลา อาจถึงเวลาทบทวนว่าคุณทำงานอยู่ผิดตำแหน่งหรือผิดบริษัทหรือไม่
อย่าเป็น Debbie Downer! พลิกตัวตนใหม่ เปิดรับโอกาส-ช่วยทีมแก้ปัญหาเชิงรุก
มอร์ริสเล่าว่า พนักงานที่ประสบความสำเร็จสูงสุด มักมีคุณสมบัติเด่นๆ อยู่ 2 ประการ ได้แก่
1. ส่งงานตรงเวลาและเกินความคาดหวังของหัวหน้าเสมอ: พนักงานที่อยากเติบโตก้าวหน้าเร็วควรจำวรรคทองนี้เอาไว้ “ส่งงานก่อนกำหนด ดีกว่าส่งช้า และส่งมอบงานมากดีกว่าส่งมอบงานน้อย”
2. เปิดรับโอกาสใหม่ๆ: กล้าที่จะยกมือรับงานเพิ่ม เสนอแนวทางแก้ปัญหา หรือขอความช่วยเหลือในจังหวะที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น อาสาเป็นพี่เลี้ยงให้พนักงานใหม่ เสนอไอเดียแก้ปัญหาที่เจ้านายกำลังเผชิญ หรือเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เครื่องมือ AI หรือซอฟต์แวร์ที่คู่แข่งใช้ แล้วนำข้อมูลมาแบ่งปันกับทีม
ไมเคิล แรมเล็ต (Michael Ramlett) ซีอีโอของบริษัทข้อมูลระดับโลกอย่าง Morning Consult เสริมว่า ทักษะความอยากรู้อยากเห็นในเชิงลึก (radical intellectual curiosity) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ส่วนมอร์ริสบอกว่า ถ้าคุณช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานและถ่ายทอดสิ่งที่เรียนรู้ นั่นคือ “ธงเขียว” ที่ผู้บริหารมองหาเสมอ
หากเริ่มงานใหม่ แนะใช้เทคนิค "90 วันแรก" กำหนดเส้นทางอาชีพ
นอกจากนี้ มอร์ริสยังแนะนำคนที่เพิ่งเริ่มทำงานที่บริษัทใหม่ (หรือ First Jobber ที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงาน) ว่า การวางกลยุทธ์ช่วง 90 วันแรก ของการทำงานใหม่ เป็นกุญแจสำคัญที่จะกำหนดความสัมพันธ์ โอกาสการเติบโต และความประทับใจในระยะยาว
“ใน 90 วันแรก คุณควรทำทุกอย่างเพื่อเข้าใจว่า คุณจะทำงานกับใคร พวกเขาทำงานอย่างไร และมีความคาดหวังอะไรจากคุณบ้าง” มอร์ริส ย้ำ และบอกด้วยว่าตัวเธอเองใช้วิธีนี้มาตลอด ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้บริหารระดับ C-suite มาเกือบ 10 ปี โดยเน้นให้ความสำคัญกับการสื่อสารและความชัดเจนในหน้าที่
ในฐานะพนักงานใหม่ อย่าแค่ถามหัวหน้า-เพื่อนร่วมงาน เกี่ยวกับเรื่องหน้าที่รับผิดชอบหลักเท่านั้น แต่ควรถามถึงสไตล์การทำงาน และวิธีที่พวกเขาทำงานได้ดีที่สุด พร้อมจดบันทึกสิ่งที่เข้าใจเกี่ยวกับความคาดหวัง แล้วนำไปยืนยันกับหัวหน้าเพื่อให้แน่ใจว่าเข้าใจตรงกัน เพื่อลดทอนความเข้าใจผิด และทำงานแบบมุ่งเป้าตรงสู่ความสำเร็จมากที่สุด
ที่ต้องทำแบบนี้ในช่วงเริ่มต้นงานใหม่ 3 เดือนแรก ก็เพราะว่า เคยมีผลสำรวจจาก Workplace Perception Gap Survey เดือนเมษายน 2025 พบว่า เกือบ 50% ของพนักงานรู้สึกว่าหัวหน้าไม่เข้าใจงานหรือบทบาทของตน ทำให้พนักงาน 44% พลาดโอกาสขึ้นเงินเดือน และ 48% ของพนักงาน รู้สึกว่าผลงานถูกประเมินต่ำกว่าความจริง
ด้วยเหตุนี้เองทำให้มอร์ริสเชื่อว่า หากมีการพูดคุยเรื่องเป้าหมายและสไตล์การทำงานที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น ก็จะสามารถลดปัญหานี้ได้ แม้แต่พนักงานใหม่หรือเด็กฝึกงาน ก็สามารถใช้เทคนิคนี้ได้เช่นกัน เพื่อสร้างความมั่นใจและภาพลักษณ์การเป็น "พนักงานมืออาชีพ" ได้ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงาน
อ้างอิง: CNBC Make it, 90 days strategy, DonnaMorris, PredictiveIndex