REO's Deli ‘ผักโขมอบชีส’ ใน 7-Eleven โกยยอดขาย ‘10 ล้านกล่อง’ ตั้งเป้าไกลอีก 2 ปีไปพันล้าน
“ผักโขมอบชีส” อาหารสัญชาติอิตาเลียนที่คนไทยชื่นชอบ จากเคยหากินได้ตามร้านอาหารฝรั่งด้วยพอร์ชันหลักร้อย มาวันหนึ่งสินค้าตัวเดียวกันถูกพัฒนาให้มีราคาจับต้องได้ไม่ถึง 40 บาท เข้าไปอยู่บนชั้นวางร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น-อีเลฟเว่น” (7-Eleven) จนกลายเป็นสินค้าขายดีติดอันดับ และในเวลาต่อมาก็ได้ขยายไลน์โปรดักต์อื่นๆ เพิ่มเติม กระทั่งปัจจุบัน “REO’s Deli” ของ “เรียว-ชณา วสุวัต” ทำเงินไปแล้ว “363 ล้านบาท” กำไรสุทธิอีก“45 ล้านบาท” และอีกสองปีข้างหน้ายังตั้งเป้าใหญ่ไปให้ถึง “พันล้าน” ด้วย
ประสบความสำเร็จกับการทำธุรกิจอาหารแช่เย็น แต่รู้หรือไม่ว่า“ชณา” ไม่ได้คลุกคลีในวงการอาหารมาก่อน ไม่ได้เรียนจบฟู้ดไซน์ แต่ใช้วิธีต่อยอด-พลิกแพลงจากธุรกิจดั้งเดิมของภรรยา แม้ว่าตอนนั้น“ชณา” จะมีหน้าที่การงานมั่นคงในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดของเครือธุรกิจเบอร์ใหญ่ เขาตัดสินใจลาออกหันมาเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง โดยมีเส้นในใจว่า ถ้าไม่สำเร็จภายใน 3 ปีก็จะกลับไปหางานประจำทำอีกครั้ง
จบนิเทศ จุฬาฯ หันทำงานโรงแรม เรียนต่อด้านอาหาร จนได้มาปั้น “REO’s Deli”
พื้นเพของผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์ REO’s Deli เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาการภาพยนตร์และภาพนิ่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนถึงวันที่ต้องไปฝึกงาน “ชณา” ก็ค้นพบว่า ตนเองไม่ได้อยากทำงานด้านนี้ และไม่คิดกลับไปทำงานตรงตามสายงานที่เรียนมาอีก ชีวิตหลังจากนั้นข้ามน้ำข้ามทะเลไปทำงานร้านอาหารที่มีคุณแม่กับเพื่อนๆ ร่วมลงทุนในชื่อ “The Sea” ตั้งอยู่ที่หาดป่าตอง ทำอยู่ประมาณ 2 ปีก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
แต่ในตอนนั้นเขาน่าจะเริ่มค้นหาตัวเองเจอแล้วว่า มีความสนใจในธุรกิจอาหาร “ชณา” ตัดสินใจไปเรียนทำเบเกอรีแล้วกลับมาเปิดธุรกิจเป็นของตัวเอง ผลลัพธ์คือเจ็บตัวจนต้องขายตึกที่ทำร้านทิ้งไป ได้เงินก้อนมาต่อทุนอีกหน่อยจึงไปสมัครงานประจำในตำแหน่ง General Manager ด้าน F&B (Food & Beverage) ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง
“ชณา” บอกว่า ตนพอจะมีทักษะการทำงานบริการอยู่บ้าง เพราะเคยช่วยงานร้านอาหารสัญชาติสวิตของคุณป้า การทำงานในตำแหน่ง GM โรงแรมครั้งนั้นทำให้เริ่มรู้สึกชอบและหลงใหลในธุรกิจดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาตึงตัดสินใจเรียนต่อด้านการโรงแรมที่ University of Westminster กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
“ชณา” เล่าว่า หัวข้อที่เขาชอบมากในตอนนั้นจนทดไว้ในใจมาหลายสิบปี คือ “Cook-chilled method” หรือกระบวนการผลิตอาหารแบบให้ความร้อน และทำการลดอุณหภูมิทันที เป็นวิธีทำอาหารที่ได้รับความนิยมในโรงแรมขนาดใหญ่ที่อังกฤษ ใช้สำหรับจัดเลี้ยงให้กับแขกหลายพันคน
-ชณา วสุวัต ผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง REO’s Deli-
แต่การปรุงอาหารให้สุกแล้วลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว จะนำมาเสิร์ฟให้อร่อยได้ต้องผ่านการอุ่นร้อนด้วยไมโครเวฟก่อน ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีราคาแพงมาก สูงถึงหลักหมื่นบาทต่อเครื่อง“ชณา” ยกเรื่องนี้เก็บไว้บนหิ้งในใจ คิดว่า ถ้าผ่านเวลาไปนานๆ แล้วยังวนกลับมาให้นึกถึงอีก ไอเดียนี้ก็คงถูกต้องอย่างที่เคยคิดไว้จริงๆ
ต่อมา “ชณา” ไปอยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตพลาสติก ยาง โลหะ ตำแหน่งสุดท้ายที่ทำ คือผู้จัดการฝ่ายการตลาด ดูแลธุรกิจรองเท้า ที่สุดแล้วบริษัทปรับโมเดล-ปิดสายธุรกิจรองเท้า เสนอให้“ชณา” โยกย้ายไปทำงานกับบริษัทในเครือด้วยเงินเดือนเท่าเดิม แต่จังหวะนั้นเริ่มอยากทำงานที่ท้าทายมากขึ้น รวมถึงต้องการรักษาบาลานซ์เวลาให้กับครอบครัวด้วย จึงตัดสินใจลาออกและหันมาเปิดบริษัทที่บ้านเอง นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ“แวลู ซอร์ซซิ่ง” ในเวลาต่อมา
“ตอนตัดสินใจเปิดบริษัททุกคนที่บ้านไม่มีใครเห็นด้วยเลย คุณแม่ผมเองบอกว่า คิดดีๆ นะ ไปหางานดีกว่า ทุกคนกลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวความเสี่ยง กระทั่งถึงจุดหนึ่งผมก็ตัดสินใจว่า เอาแบบนี้แหละ เราเชื่อว่าเราทำได้ ก็บอกครอบครัวตอนกินข้าวด้วยกันว่า ตกลงผมจะตั้งบริษัทแล้ว ถ้าภายใน 3 ปีไม่ประสบความสำเร็จจะกลับไปหางานใหม่ ฉะนั้นต่อไปนี้ไม่ต้องมาพูดเรื่องไม่เห็นด้วยกับการทำบริษัท ซึ่งบริษัทนั้นก็คือแวลู ซอร์ซซิ่ง หรือ VSC”
เริ่มขายที่ร้านกาแฟเพื่อน จนได้เข้า “MaxValu-Tops-Family Mart”
ช่วงแรกที่เปิดบริษัท “ชณา” ตั้งใจจะเริ่มจากธุรกิจที่เชี่ยวชาญ ซึ่งก็คืองานผลิตรองเท้าเป็นรายโปรเจกต์ แต่ภรรยาชวนคิดใหม่อยากให้หาธุรกิจที่มีรายได้เข้ามาตลอดไม่ต้องรอเงินก้อนใหญ่หลังจบงาน ประจวบเหมาะกับธุรกิจดั้งเดิมของภรรยาที่เคยทำร้านอาหารมาก่อน ตอนนั้นพอเพื่อนๆ เริ่มรู้ว่า ชณาลาออกมาเปิดบริษัทจึงชักชวนขอให้ทำอาหารเข้ามาวางขายที่ร้านกาแฟ
“ชณา” เลือกเมนู “ผักโขมอบชีส” และ “ลาซานญ่า” ทำขายด้วยบรรจุภัณฑ์ขนาดพอเหมาะ ไม่นานก็ได้รับความนิยมมาก จึงคิดต่อยอดหาโอกาสทำขายส่งตามช่องทางโมเดิร์นเทรด ด้วยไอเดีย “ทำน้อยได้มาก” ยึดจากพื้นฐานที่เคยทำธุรกิจรองเท้ามาก่อน มองว่า ช่องทางโมเดิร์นน่าจะดีที่สุด ส่งหนึ่งครั้งแล้วร้านค้านำไปกระจายต่อได้เอง
อดีตผู้จัดการฝ่ายการตลาดเริ่มจากนำสินค้าเข้าไปเสนอขายให้ “MaxValu” คอนวีเนียนสโตร์ในเครือ AEON ด้วยเหตุผลเรื่องคลังสินค้าอยู่ใกล้บ้าน “ชณา” เลือก “ผักโขมอบชีส” และ “ลาซานญ่า” ไปเสนอกับฝ่ายจัดซื้อ ปรากฏว่า “MaxValu” ซื้อไอเดีย จึงวางแผนส่งวันละ 300 กล่อง สัปดาห์ละ 2 วัน วันแรกขับรถไปส่งตั้งแต่ตีสามกลับถึงบ้านช่วงเย็นก็ได้รับสายจากฝ่ายจัดซื้อให้นำสินค้าเข้ามาเติมอีกเพราะตอนนี้สินค้าหมดเกลี้ยงแล้ว
“ตอนนั้นดีใจปนทรุดเพราะยังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่คืนก่อน เป็นอะไรที่ไม่คาดฝัน ตลาดตอบรับกับสินค้าตัวนี้เพราะปกติลาซานญ่าเขาจะเสิร์ฟเป็นแผ่นใหญ่ครึ่งฟุต แต่ผมเสิร์ฟในไซซ์ 1 ใน 3 ทำให้ราคาต่อยูนิตมันถูก ตอนนั้นขายราคากล่องละ 59 บาท แต่ถ้าเป็นแผ่นเต็มจะอยู่ที่กล่องละ 175 บาท ราคาต่อหน่วย ต่อกรัม ไม่ได้ถูกลง แต่การควักเงินของลูกค้ามันประหยัดลง และแก้ปัญหาคุณแม่ที่โดยปกติต้องซื้อของตามซูเปอร์มาร์เก็ตไปทำกับข้าว อันนี้ก็ช่วยให้ไม่ต้องยุ่งยากทำอาหารเอง”
นอกจากคลังสินค้าใกล้บ้าน “ชณา” บอกว่า ช่องว่างที่ตนมองเห็น คือ “MaxValu” โดดเด่นเรื่องอาหารญี่ปุ่นแต่ยังไม่มีอาหารฝั่งตะวันตกเข้าไปเติมเต็ม สิ่งที่ตนเข้าไปบอกกับฝ่ายจัดซื้อในวันนั้น คือ “แวลู ซอร์สซิ่ง” ขอเป็นคนดูแลอาหารฝั่งเวสเทิร์น หลังจากนั้นก็เริ่มขยายเข้า“Tops” คอนวีเนียนสโตร์ค่ายเซ็นทรัล เข้าไปขายได้ไม่นานก็ติดอันดับสินค้าขายดี ขายได้มากถึงเดือนละ“4 แสนบาท”
ที่ “Tops” มีชาเลนจ์ให้กับ “ชณา” เรื่องขยายไปทั่วประเทศ แต่สินค้าของแวลู ซอร์ซซิ่ง ในตอนนั้นมีอายุเพียง 5 วัน บวกลบเวลาขนส่งสินค้าแล้วต้องมีอายุให้ได้ 10 วัน “ชณา” ไปศึกษาเพิ่มเติมกับสถาบันอาหาร ใช้วิธีการลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็วเพื่อยืดอายุออกไป ตัดสินใจซื้อเครื่องลดอุณหภูมิจากอิตาลี เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจเข้าไปวางขายใน Tops และไปต่อกับ “Family Mart” จนขึ้นแท่นติดอันดับ 1 ใน 5 สินค้าขายดีที่ช่วยดึงดูดลูกค้าเข้าร้านได้เช่นกัน
ไม่มีมายด์เซ็ตเรื่องสูตรอากง-อาม่า เปลี่ยนมาแล้วเป็นสิบครั้งตามรสนิยมคนกิน
เหตุผลสำคัญที่ทำให้สินค้าของ REO’s Deli ติดตลาด มาจากการรับฟังผู้บริโภคแล้วนำไปปรับเปลี่ยนโดยไม่ยึดติดเรื่องสูตรเก่า-สูตรดั้งเดิม “ชณา” มองว่า แนวคิดเรื่องสูตรอากง-อาม่า เป็น“Business Risk” หรือความเสี่ยงทางธุรกิจ การรักษาไว้ซึ่งสูตรดั้งเดิมไม่ได้มีความจำเป็นขนาดนั้น ทุกอย่างของ REO’s Deli เปลี่ยนแปลงไปตามรสนิยมของลูกค้า ทั้งสูตรผักโขม กระบวนการ สัดส่วน ทุกอย่างเปลี่ยนมาแล้วมากกว่าร้อยครั้งเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด
“ชณา” ยกตัวอย่างให้ฟังว่า ช่วงที่ตนเริ่มเข้าไปขายใน “MaxValu” ตอนนั้นก็ขายที่ตลาดนัดสัมมากรวันเสาร์และอาทิตย์คู่ขนานไปด้วย วันหนึ่งมีลูกค้าเดินมาซื้อชิมแล้วฟีดแบ็กว่า รสชาติอร่อยใช้ได้ ติดอยู่เรื่องเดียวคือหอมใหญ่ ให้นำสูตรของเขาไปใช้ได้เลย หอมใหญ่ก่อนผัดเอาไปบดเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อน “ชณา” ก็เปลี่ยนสูตรตามที่ลูกค้าบอก
หรือแต่ก่อนในลาซานญ่าใช้พริกไทยยี่ห้อหนึ่งที่มีกลิ่นหอมมาก แต่ก็มีลูกค้าเดินมาบอกว่า พริกไทยที่ใช้รสชาติจัดจ้านเกินไปสำหรับเด็กทาน สุดท้ายก็ตัดสินใจเอาออกเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็ก ตัวอย่างทั้งสองสะท้อนว่า เพราะอะไรธุรกิจจึงเติบโตได้มาก “ชณา” มี “Customer Centric” เป็นหลักยึด ที่ผ่านมาสินค้าไม่มีสูตรเก่า-สูตรดั้งเดิม พัฒนาให้ถูกปากลูกค้าตลอด มองว่า เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ REO’s Deli แตกต่าง สร้างจุดแข็งที่ไม่เหมือนใครในท้องตลาดได้
“เราเลือกใช้วัตถุดิบแท้ๆ เช่น ในอุตสาหกรรมชีสมีชีสสองแบบ มี Process Cheese กับชีสที่ทำจากนมจริงๆ ของเราใช้ชีสแท้ หรือการเลือกใช้วัตถุดิบอื่นๆ เช่น มะเขือเทศในลาซานญ่าเราใช้มะเขือเทศกระป๋องน้ำเข้าจากอิตาลี แผ่นลาซานญ่าเราผลิตโดยใช้แผ่นลาซานญ่าสดไม่ใช่แผ่นแข็งแห้งๆ ทำให้สัมผัสต่างกัน”
ถึงเวลาเข้า “7-Eleven” เปลี่ยนจากเข้าเตาอบเป็นสินค้า “No-bake”
หลังเจาะโมเดิร์นเทรดจนเข้าไปอยู่ในคอนวีเนียนสโตร์หลายแห่งสำเร็จ ปี 2562 “ชณา” ก็เจอชาเลนจ์ใหม่อีกครั้งกับการนำสินค้าวางขายใน “เซเว่น-อีเลฟเว่น” ที่ต้องปรับเปลี่ยนตั้งแต่การทำราคา ขนาดสินค้า จนถึงขั้นตอนสำคัญอย่างการอบสินค้า ปัจจุบันสินค้าทุกตัวจาก REO’s Deli ใช้วิธี “No-bake” ไม่ได้ผ่านขั้นตอนเข้าเตาอบ
“ชณา” เล่าว่า ปกติอาหารทุกตัวของแบรนด์ต้องจบด้วยใส่ถาดฟอยล์แล้วนำเข้าเตาอบ แต่กับเซเว่น-อีเลฟเว่นทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะถาดฟอยล์มีโอกาสบุบสูงในขั้นตอนขนส่งสินค้า ขึ้นชั้นวางหยิบไปหยิบมาก็บุบได้อีก “เซเว่น-อีเลฟเว่น” จึงให้โจทย์กับ “ชณา” มาว่า จะแก้ปัญหานี้อย่างไร แนวทางที่ง่ายที่สุด คือใช้ถาดฟอยล์ให้หนาขึ้นแต่นั่นก็เท่ากับต้นทุนที่สูงขึ้นตามไปด้วย และท้ายที่สุดก็มีโอกาสบุบได้อยู่ดี
-มักกะโรนีชีสเบคอน หนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยม-
เขามองข้ามช็อตไปไกลกว่านั้น แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ถ้าใช้ฟอยล์แล้วบุบก็ไม่ต้องใช้ จะไม่ใช้ฟอยล์ก็แปลว่า ต้องไม่ผ่านการอบ เปลี่ยนมาใช้พลาสติกประเภท PP เข้าไมโครเวฟได้แต่เข้าเตาอบไม่ได้ จึงไปจบที่การปรับสูตรแบบ “No-bake” ผัดผักโขมเสร็จแล้วบรรจุลงถาด ราดซอสชีส อบเฉพาะแผ่นชีสที่ต้องวางโปะด้านบน อบเสร็จค่อยนำชีสมาวางเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ
สินค้า“No-bake” ใช้เวลา R&D นาน 1 ปีเต็ม จะทำอย่างไรให้รสชาติยังอร่อยเท่าการผลิตแบบดั้งเดิมเป็นโจทย์ที่ยากที่สุด ยังไม่รวมเรื่องส่วนผสมที่ต้องคำนวณเวลาเข้าไมโครเวฟ อุณหภูมิเท่าไหร่ลูกค้าถึงจะได้รสชาติที่ดีกลับไป ช่วงแรกเริ่มวางขายก่อน 1,000 สาขา จากนั้นจึงเริ่มขยายเป็น 3,000 สาขา พอเห็นฟีดแบ็กจากลูกค้าจึงตัดสินใจขยายกำลังการผลิตซื้อโรงงานเพิ่ม และเข้าไปวางขายเซเว่น-อีเลฟเว่นทั่วประเทศในเวลาต่อมา
ปัจจุบัน “REO’s Deli” ผูกปิ่นโตขายสินค้าที่ร้านเซเว่น-อีเลฟเว่นแต่เพียงผู้เดียว สินค้ามีทั้งหมด 3 รายการ ได้แก่ ผักโขมอบชีส ลาซานญ่า และมักกะโรนีชีสเบคอน“ชณา” เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” เพิ่มเติมด้วยว่า ภายในปีนี้จะมีสินค้าตัวใหม่วางจำหน่าย แต่จะเป็นอะไรต้องรอลุ้นกันอีกที สำหรับพื้นที่ที่ขายดีที่สุดตอนนี้ยังเป็นกรุงเทพฯ กินสัดส่วน 50% ต่างจังหวัดที่ได้รับความนิยมอยู่ที่ภาคอีสาน
ตั้งเป้า “580 ล้าน” อยากให้ “ผักโขมไทย” เป็น Superfood ระดับโลก
เมื่อถามว่า ปีไหนที่ “REO’s Deli” เติบโตมากที่สุด “ชณา” บอกว่า ธุรกิจทำ “New High” ทุกปีไม่มีหยุด นั่นหมายความว่า ปีที่โตที่สุดก็จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ มีสถิติใหม่เข้ามาแทนที่ทุกปี โดยปีล่าสุด บริษัท แวลู ซอร์ซซิ่ง จำกัด มีรายได้ “363 ล้านบาท” เติบโตจากปีก่อนหน้า 78% และถ้าดูรายได้ย้อนไปไกลกว่านั้นก็จะพบว่า ธุรกิจอาหารแช่เย็นแห่งนี้โตแบบ “Double-Digits” ต่อเนื่อง
สินค้าขายดียังตกเป็นของ “ผักโขมอบชีส” ยืนหนึ่งตลอดกาล เฉพาะตัวนี้ปีที่แล้วขายไปได้เกือบๆ 10 ล้านกล่อง กินสัดส่วนรายได้ราว 200 ล้านบาท ส่วนปีนี้ตั้งเป้ารายได้ไว้ “580 ล้านบาท” มั่นใจว่า อย่างไรก็น่าจะเข้าเป้าตามที่คาดการณ์ไว้ ส่วนเป้าหมายระยะไกล “ชณา” อยากไปให้ถึงพันล้านภายในปี 2570 พร้อมกับแผนนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปีเดียวกัน
แผนสเกลธุรกิจของบริษัทไม่หยุดแค่โปรดักต์อาหารพร้อมทานแน่นอน“ชณา” กางแผนโตผ่าน 3 แกนธุรกิจ ได้แก่ 1. แบรนด์ REO’s Deli อาหารพร้อมทาน 2. ผักสร้างสุข โครงการปลูกผักโขมไทยแทนการนำเข้าจากจีน และ 3. โครงการ Food Innovation นำผักโขมมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ “High Valued Product” ซึ่งตอนนี้มีออกมาแล้วหนึ่งตัว คือ “ผงผักโขม” แกนนี้กำลังเดินหน้าพัฒนาเพื่อผลักดันผักโขมไทยสู่ “Superfood” ระดับโลก
โครงการผักสร้างสุขเกิดจาก “Pain Point” ในการนำเข้าผักโขมจากจีนที่ไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้เต็มที่ “ชณา” บอกว่า ทุกวันนี้สินค้าผักโขมอบชีสก็ใช้ผักโขมนำเข้าเหล่านี้ และพบว่า มีสิ่งแปลกปลอมเยอะมากทั้งใบไม้ หนอน แมลง เศษพลาสติก เศษไนลอน พูดคุยกันหลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ด้วยสเกลการปลูกของจีนที่ใหญ่มาก จึงคิดทำโครงการเอง บริหารจัดการการปลูกด้วยตัวเอง
หากทำได้ครบวงจรในอนาคตก็จะเกิดประโยชน์กับทั้งห่วงโซ่ เกษตรกรได้ราคาสูงขึ้น โรงงานแปรรูป โรงคัดผักมีรายได้ ซึ่งดอกผลของสิ่งนี้จะเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ โดย “REO’s Deli” จะเริ่มนำผักโขมไทยเข้ามาเป็นวัตถุดิบสัดส่วน 10% ให้ผู้บริโภคค่อยๆ คุ้นชิน จากนั้นในอนาคตก็ขยับไปใช้ผักโขมไทยทั้งหมด 100%
ส่วนแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ “ชณา” บอกว่า มีสองวัตถุประสงค์ อย่างแรกคือเพื่อให้พนักงานและประชาชนที่เป็นลูกค้าได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น ซื้อของเรา ใช้ของเรา ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนไปด้วย ตนไม่ได้มองถึงการเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้นเหมือนตลาดทุนปัจจุบัน มองภาพแบบสหกรณ์ไว้มากกว่า
ส่วนที่สอง คือการระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ยอมรับว่า จากจุดนี้มองอนาคตในไทยอีก 5 ปีข้างหน้าค่อนข้างเลือนลาง คิดว่า ไปต่างประเทศน่าจะเป็นทิศทางที่เหมาะที่ควร เบื้องต้นโฟกัส “มาเลเซีย” เพราะเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทุกปี มีจำนวนประชากรวัยทำงานเพิ่มขึ้น เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่อยากคว้าไว้
“การเข้าตลาดเราต้องการระดมทุนไปขยายธุรกิจ เช่น อนาคตพื้นที่การเกษตรเป็นสิ่งจำเป็น อาจจะมองเรื่องการลงทุนฟาร์มมิ่งต่างๆ การขยายแปลงผักโขมหรือสายพันธุ์ผักโขม นำไปสู่เรื่องการผลิตเมล็ดผักโขมเพื่อสกัดน้ำมันด้วย เราก็อยากได้เงินทุนมาลงทุนการวิจัยต่างๆ ที่ทำให้ก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีต่างๆ เติบโตแบบ IDE หรือ Innovation Driven Enterprise”