‘ใบเสร็จ’ หนึ่งในการเขียนยุคแรกๆ ถึงแคชเชียร์ป้องกันการทุจริต และสิ่งสำคัญในโลกธุรกิจ
ทุกวันนี้ ใบเสร็จ ทำให้คุณประสาทกินหรือไม่ การไปเดินห้าง ก็ต้องสะสมใบเสร็จเพื่อเอาไปแลกเวลาจอดรถ หลายโปรโมชั่นก็ต้องแสดงใบเสร็จ บ้านร้านอาหารให้เราสแกนใบเสร็จเพื่อสะสมแต้ม ซื้อของชิ้นใหญ่ๆ ก็ต้องเก็บใบเสร็จไว้ เก็บไปเก็บมา ในกระเป๋า ในบ้าน เต็มไปด้วยกระดาษแผ่นบางๆ จิ๋วๆ
แน่นอน ใบเสร็จที่เราหยิบและสะสมไว้เป็นจำนวนมหาศาล ตัวมันเองเป็น ‘หลักฐาน’ ของการซื้อ-ขายสินค้า เป็นการระบุราคา ที่มา วันเวลา และอาจรวมถึงความคุ้มครองและข้อมูลอื่นๆ ที่ผูกมัดผู้ซื้อและผู้ขายของการทำธุรกรรมในครั้งหนึ่งๆ
แหม พอพูดแบบนี้ เจ้าใบเสร็จที่อยากจะขยำทิ้งก็ดูจะกลายเป็น ‘ของ’ สำคัญของโลกธุรกิจเลยทีเดียว เรียกได้ว่านอกจากธุรกิจและธุรกรรม การค้าทั้งหลาย ของผู้ซื้อ-ผู้ขายแล้ว เจ้าใบเสร็จนี้ยังทำหน้าที่ที่สำคัญมากๆ มาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล คือเป็นหลักฐานเพื่อใช้ตรวจสอบของรัฐในการจัดการภาษีและดูแลความเป็นไปต่างๆ ของกิจการในดินแดนของตน
ถ้าเรามองย้อนกลับไป ในหลักฐานเก่าแก่อย่างหลักฐานตัวเขียนข้อความโบราณนั้น เราจะพบว่าหนึ่งในข้อเขียนของภาษาเขียนที่เกิดขึ้นคือการบันทึกธุรกรรม หลักฐานการซื้อ-ขาย เรียกได้ว่าเมื่อมีภาษาเขียนเกิดขึ้น หลักฐานหรือใบเสร็จก็เป็นหนึ่งในข้อเขียนสำคัญที่มนุษย์เขียนเพื่อเป็นหลักฐานซึ่งกันและกัน และเป็นหลักฐานต่อรัฐ
จากข้อเขียนในแผ่นดินเหนียว กระดาษปาปิรุส หรือเศษเครื่องปั้นดินเผา มนุษย์เราต้องพึ่งพาหลักฐานชิ้นเล็กๆ ในการซื้อ-ขายสรรพสิ่ง จนมาถึงยุคสมัยของการค้าที่มีลูกค้าและการซื้อ-ขายเป็นจำนวนมาก เจ้าของกิจการชื่อ ‘เจมส์ ริตตี้ (James Ritty)’ จึงคิดค้นระบบบันทึกข้อมูลอัตโนมัติซึ่งก็คือแคชเชียร์ที่ส่งเสียงกริ๊งท่ีเราคุ้นเคย ที่พวกมันถูกคิดขึ้นเพื่อป้องกันการทุจริตของพนักงานในการซื้อ-ขาย
แผ่นดินเหนียว เศษดินเผา ก่อนจะมีใบเสร็จ
ในอารยธรรมที่มีการเขียน นักโบราณคดีมักพบข้อเขียนที่ระบุเป็นข้อความ หลักฐานการซื้อ-ขาย เป็นหนึ่งในงานเขียนที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ หนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ว่าด้วยการขีดๆ เขียนๆ เราต้องย้อนไปที่สมัยเมโสโปเตเมีย
ในอารยธรรมเมโสโปเตเมียมีการเขียนอักษรลิ่มคูนิฟอร์มลงบนแผ่นดินเหนียว หนึ่งในใบเสร็จที่เก่าแก่ที่สุดคือแผ่นดินเหนียวที่พบในตุรกี แผ่นจารึกขนาดย่อมๆ มีอายุถึง 3,500 ปี บันทึกถึงการซื้อเฟอร์นิเจอร์ของใครสักคนไว้
นอกจากแผ่นดินเหนียวอายุ 3,500 ปีที่ว่าด้วยการซื้อ-ขายเฟอร์นิเจอร์แล้ว ยังมีแผ่นดินเหนียวในทำนองเดียวกัน คือเขียนโดยผู้ขายสินค้า บันทึกรายละเอียดสินค้าและราคาไว้ เช่นแผ่นดินเหนียวที่ค้นพบในพื้นที่ของอิรัก ที่คาดว่าจะมีอายุในช่วง 300 ปีก่อนคริสตกาล ตัวแผ่นดินเหนียวบันทึกการขายต้นปาล์ม 15 ต้น
ในกรณีการซื้อ-ขายต้นปาล์ม นักประวัติศาสตร์ชี้ว่านับเป็นอีกหนึ่งบันทึกที่มีความซับซ้อนในตัวเอง คือเป็นหลักฐานการซื้อ-ขายต้นปาล์ม โดยพูดถึงเฉพาะตัวต้นปาล์มในฐานะสินค้า ไม่ใช่ที่ดินที่มันถูกนำไปปลูกซึ่งถือว่าเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
นัยหนึ่งของใบเสร็จในยุคนั้น ไม่ได้เป็นแค่ใบเสร็จรับเงิน แต่เป็นหลักฐานสัญญาย่อยๆ ตัวแผ่นดินเหนียวแสดงให้เห็นถึงการที่ประชาชนของเมืองสามารถทำกิน ครอบครองสินทรัพย์ต่างๆ ของพื้นดินได้ แต่ครอบครองที่ดินไม่ได้ ทั้งยังมีการลงนามของผู้เกี่ยวข้อง พยาน ซึ่งเป็นหลักฐานของการทำธุรกรรมที่มีผลตามกฎหมายที่ค่อนข้างซับซ้อน
สำหรับอียิปต์โบราณเอง เมื่อมีวัฒนธรรมการเขียนแล้ว ในสมัยอียิปต์โบราณเองก็มีการเขียนใบเสร็จเช่นเดียวกัน แต่ในยุคนั้น กระดาษปาปิรุสค่อนข้างเป็นของราคาแพง เป็นสิ่งประณีต แต่ในยุคอียิปต์โบราณจะมีวัตถุอีกประเภทเรียกว่า Ostracon คือจะเป็นเศษ (บางทีก็ชิ้นใหญ่) ของเครื่องปั้นดินเผาที่แตก ไปจนถึงเศษหินแบนๆ
เศษวัสดุเหล่านี้เป็นของราคาถูก หาได้ทั่วไป ชาวอียิปต์จึงใช้แทนเศษกระดาษ เอาไว้ใช้จดโน้ต คำนวณตัวเลข ใช้ให้เด็กๆ ฝึกเขียน ทำการบ้าน และแน่นอนใช้บันทึกหลักฐาน อย่างใบเสร็จก็ใช้เครื่องดินเผาแตกๆ เหล่านี้เขียนสิ่งต่างๆ ลงไป
อย่าลืมว่าใบเสร็จในสมัยโบราณ (รวมถึงในปัจจุบัน) ส่วนหนึ่งของพวกมันเป็นตัวเชื่อมข้อมูลของรัฐ และกิจกรรมในชีวิตประจำวันของผู้คน เป็นหลักฐานในการซื้อ-ขายเพื่อนำไปแสดงการซื้อ-ขายและการจ่ายภาษี ป้องกันการเก็บภาษีซ้ำ
เครื่องเก็บเงินที่โกงไม่ได้ กับมาตรฐานร้านค้า
จากยุคโบราณที่เราพบหลักฐานต่างๆ ในการค้าขายและการแสดงหลักฐานต่อรัฐ มาถึงในยุคสมัยใหม่ที่โลกขับเคลื่อนด้วยการค้า รอยต่อสำคัญของใบเสร็จ คือการเกิดขึ้นของเครื่องที่เราเรียกกันอย่างลำลองว่า ‘แคชเชียร์’ ซึ่งก็คือเจ้าเครื่องเก็บเงินที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี่แหละ
ทีนี้ เครื่องเก็บเงินเป็นอีกสุดยอดนวัตกรรมของโลกสมัยใหม่ ที่เปลี่ยนโฉมและช่วยกิจการได้ ซึ่งต้องย้อนไปในทศวรรษ 1870 ที่เมืองโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ที่นั่นมีเจ้าของบาร์ และทำกิจการขายสุรา บุหรี่และอื่นๆ ชื่อ ‘เจมส์ ริตตี้’
วันหนึ่งริตตี้เดินทางไปยุโรปด้วยเรือกลไฟ ในระหว่างเดินทางแกก็เป็นคนชอบประดิษฐ์ ชอบคิด และไปสะดุดกับกลไกการหมุนของกลไกการเดินเรือที่มันนับรอบการหมุนของใบพัดได้ เลยคิดได้ว่า ด้วยกลไกในทำนองเดียวกันนี้ เราก็น่าจะนำมานับยอดการซื้อ-ขายของกิจการของตัวเองได้
ดังนั้นจึงกลับไปประดิษฐ์เครื่องเก็บเงิน เครื่องเก็บเงินที่ฟังดูธรรมดา แต่แท้จริงแล้วมันกำลังแก้ปัญหาของกิจการในขณะนั้น คือเครื่องเก็บเงินที่ว่าทำหน้าที่สร้างความโปร่งใสในการซื้อ-ขาย เป็นเครื่องที่พนักงานจะหมุนตัวเลข เพื่อแสดงยอดการซื้อในครั้งนั้น ทำให้ผู้ซื้อมองเห็นและตอบรับยอดเงินได้ ตัวเครื่องจะทำหน้าที่บันทึกข้อมูล (ซึ่งค่อยๆ พัฒนาจากรุ่นแรกที่เครื่องจะบันทึกยอดคือการหมุนตัวเลขเป็นยอดรวมในแต่ละวัน จนกลายเป็นระบบม้วนกระดาษ มองเห็นยอดแต่ละครั้ง) ลงทันทีที่เกิดการซื้อ-ขายขึ้น เมื่อสิ้นสุดวัน เจ้าของกิจการหรือผู้จัดการก็จะสามารถตรวจสอบและจัดการกับยอดเงินได้ในทันที
ทางเจมส์ ริตตี้เอง ก็เผชิญกับปัญหาพนักงานแอบยักยอกเงินของลูกค้า คือไม่จดบันทึกรายการการซื้อ-ขายบางรายการ ทำให้กิจการสูญเสียรายได้ การประดิษฐ์ของเจมส์ ริตตี้ และน้องชาย จอห์น ริตตี้ จึงเป็นการแก้ปัญหากิจการของตัวเองก่อน หลังจากนั้นจึงมีการจดสิทธิบัตรและเริ่มตั้งโรงงานเพื่อผลิตเครื่องเก็บเงินเป็นอีกกิจการ
ในการพัฒนาเครื่องเก็บเงิน แรกเริ่มสุด ยังไม่มีลิ้นชักเก็บเงิน เป็นเครื่องแสดงตัวเลขเพื่อความโปร่งใส ภายหลังริตตี้เองจึงเริ่มพัฒนาให้มีลิ้นชักนิรภัยในการเก็บเงินสำหรับร้านค้าด้วย แต่หัวใจหนึ่งของเครื่องเก็บเงินหรือแคชเชียร์ต้านโกง คือการใส่เสียงกระดิ่งทุกครั้งที่มีการสรุปยอดขาย
ในรุ่นหลังๆ พัฒนาให้ทั้งเก็บข้อมูลประจำวันในกระดาษ คือริตตี้พัฒนาระบบม้วนกระดาษที่เครื่องจะบันทึกทุกยอดการขายลงในม้วนกระดาษด้วยการเจาะรู ทำให้มองเห็นการซื้อ-ขายทุกๆ ครั้ง ไปจนถึงเป็นเครื่องช่วยคำนวณราคาในการซื้อ-ขายนั้นๆ ทำให้ตัวเครื่องมีความสำคัญต่อเนื่องจากความโปร่งใส นำไปสู่ความถูกต้อง แม่นยำ ในการดำเนินกิจการมากขึ้นด้วย แถมยังเข้าใจพฤติกรรมผู้ซื้อที่ถี่ถ้วนขึ้น นำไปพัฒนาการขายหรือสินค้าต่อได้
ตรงนี้เองทั้งเครื่องที่ใช้แจ้งยอดในร้าน พัฒนาจนมีลิ้นชัก มีระบบม้วนกระดาษที่จะเก็บทุกๆ ยอดซื้อ จึงเป็นระบบต้นแบบของแคชเชียร์และใบเสร็จที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน นำไปสู่การปฏิวัติการค้าที่เจ้าของกิจการสามารถจ้างคนแปลกหน้ามาดูแลร้านได้ เริ่มเป็นระบบที่เข้าใจการตลาด การขาย การบัญชี พฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้การขายสินค้าเป็นจำนวนมากๆ จัดการและเข้าใจเป็นระบบได้ เป็นรากฐานที่สำคัญมากสำหรับธุรกิจกิจการ
เจ้าเครื่องที่ริตตี้คิดขึ้นนั้น เป็นระบบที่ซับซ้อน ประกอบกับตัวครอบครัวริตตี้เองทำร้านเหล้าและกิจการสุราทำให้ไม่มีเวลา ตัวเครื่องต้องการดูแล พัฒนา และบริการหลังการขาย หลังจากนั้นจึงขายสิทธิบัตรให้กับ จอห์น เอช. แพตเทอร์สัน (John Henry Patterson) หนึ่งในผู้บุกเบิกวงการการขายและการตลาด
ในนามของบริษัท National Cash Register Company (NCR) แพตเทอร์สันทำการพัฒนาเครื่องเก็บเงินให้กลายเป็นระบบและอุปกรณ์พื้นฐานของกิจการร้านค้าโดยทั่วไป ในที่สุด เครื่องเก็บเงินจึงกลายเป็นภาพและเสียงมาตรฐาน ทั้งลิ้นชัก การพิมพ์ใบเสร็จเป็นหลักฐาน และเสียงติ๊ง ที่เราทุกคนคุ้นเคย ในทศวรรษ 1910 บริษัท NCR ถือเป็นบริษัทด้านการพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา
หลังจากยุคที่เครื่องพิมพ์มากับเครื่องเก็บเงิน นวัตกรรมที่ต่อเนื่องคือระบบพิมพ์ด้วยความร้อน เริ่มมีกระดาษใบเสร็จแบบม้วน ทำให้การบันทึกใบเสร็จไม่จำเป็นต้องมีหมึกในการพิมพ์อีกต่อไป การพิมพ์ใบเสร็จจึงเป็นอีกสุดยอดนวัตกรรมที่ปรากฏทุกหนแห่ง เป็นหลักฐานจากการทำธุรกรรมที่เหมือนกับยุคโบราณ แต่กลายเป็นว่าเราเองสามารถบันทึกการซื้อ-ขายเล็กๆ น้อยๆ ได้ ทั้งด้วยความช่วยเหลือของการคิดค้นเครื่องแสดงมูลค่า ที่ค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นอีกหัวใจของทุกร้านค้าและทุกบริษัทกิจการ
ทรัพย์คัลเจอร์ในครั้งนี้ พาทุกท่านเดินทางผ่านสลิปขนาดจิ๋วในมือ ผ่านห้วงเวลานับพันๆ ปี ที่การค้าขายและภาษาแทบจะเกิดขึ้นพร้อมกับอารยธรรมมนุษย์ และใบเสร็จก็คือหลักฐานการค้าขาย รวมถึงเป็นข้อผูกมัดอันซับซ้อนที่ไม่ได้มีแค่สินค้า แต่มีหลักเกณฑ์ มีกฎหมาย มีเงื่อนไขของรัฐที่มีต่อพลเมือง มีความรับผิดชอบของธุรกิจกิจการที่มีต่อผู้คน และมีธุรกรรมในชีวิตประจำวันถูกบันทึกไว้
ในวันที่ทุกอย่างกลายเป็นดิจิทัล แต่เราเองก็ยังต้องเก็บใบเสร็จยิ่งของล้ำค่า ใบเสร็จถือเป็นอีกหนึ่งวัตถุที่ถือว่าขับเคลื่อนโลกธุรกิจ ที่มีนวัตกรรมและเรื่องราวมากมายแอบแฝงอยู่
อ้างอิงข้อมูลจาก
penn.museum/sites/expedition/clay-tablets-to-text-messages/?utm_source=chatgpt.com
ancientegyptonline.co.uk/ostracon/
thoughtco.com/cash-register-james-ritty-4070920