โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เบื้องหลังความขบถของเหล่าคุณยาย Radical Grandma Collective ที่ทอผ้าต่อต้านการสร้างเหมือง

Capital

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Insight

แค่ชื่อ Radical Grandma Collective (RadGram) ก็แฝงด้วยความขบถและความกล้าหาญที่ลุกขึ้นมาท้าทายกับขนบเก่าและอำนาจ แต่เบื้องหลังความขบถนั้นคือพลังแข็งแกร่งของเหล่าคุณยายที่ใช้การทอผ้าเป็นอาวุธในการต่อกรกับเหมืองทองคำและอำนาจทุนนิยม

ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในภาคอีสานของไทยที่บ้านนาหนองบง ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย การต่อสู้เพื่อปกป้องผืนดินและฟื้นฟูชุมชนได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อการสร้างเหมืองทองคำของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านแค่ 500 เมตรเข้ามารุกรานชุมชน เกิดเสียงระเบิดและฝุ่นละออง มีสารพิษปนเปื้อนในนาข้าวและแหล่งน้ำ ทำลายวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คน ทิ้งรอยแผลในผืนดินและรอยแผลทางใจไว้เนิ่นนานแม้สุดท้ายเหมืองจะปิดตัวลง

ตั้งแต่วันที่ถูกรุกราน ‘กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด’ นำโดยเหล่าคุณยายจึงลุกขึ้นหยิบโทรโข่ง ปิดถนน และรวมพลังชาวบ้านจากทุกช่วงวัยเพื่อยุติการทำเหมือง และเลือก ‘การทอผ้า’ เป็นทั้งอาวุธและพื้นที่รวมพลังที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ ‘กลุ่มตำหูกบ้านนาหนองบง - สู้เหมือง’ เพื่อนำรายได้จากผ้าผืนงามไปหล่อเลี้ยงการต่อสู้

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในปี 2008 แม่รจน์–ระนอง คงแสน ผู้นำชุมชนของกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดและ Co-founder ของ Radical Grandma Collective ได้ชวนชาวบ้านมาฟื้นฟูการทอผ้าที่เกือบเลือนหาย และในเวลาเดียวกันได้พบกับ Becky Goncharoff (เบ็คกี้ กอนชาโรฟ) Executive Director and Co-founder ของ Radical Grandma Collective ซึ่งตอนนั้นเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากสหรัฐฯ ที่ผูกพันกับชุมชนอย่างลึกซึ้ง ในปี 2016 เบ็คกี้และเพื่อน ๆ กับชาวบ้านได้ร่วมกันก่อตั้ง Radical Grandma Collective (RadGram) ขึ้นเพื่อขายผ้าทอและสนับสนุนการเคลื่อนไหวอย่างยั่งยืน

ตลอดเวลาเกือบ 20 ปีในการฟื้นฟูชุมชนนับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต่อสู้มา RadGram ไม่เพียงช่วยระดมทุน แต่ยังทำงานร่วมกับหลายชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเหมือง ร่วมกับแม่รจน์และชาวบ้านสร้างโรงเรียนทอผ้าให้กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดเพื่อเยียวยาทั้งเศรษฐกิจและหัวใจของผู้ค

เบ็คกี้เล่าว่า หนึ่งในภาพที่งดงามที่สุดคือการเห็นคนหลายรุ่นมานั่งทอผ้าด้วยกัน ได้คุยกันอย่างลึกซึ้งในแบบที่ปกติคงไม่เกิดขึ้น คนรุ่นใหม่ได้กลับมาเรียนรู้ภูมิปัญญาพร้อมทั้งตระหนักว่าชุมชนของตนเต็มไปด้วยพืชพรรณเฉพาะถิ่นและความหลากหลายทางชีวภาพ

“เราและชาวบ้านพยายามเยียวยาความสัมพันธ์ของชุมชนผ่านโรงเรียนทอผ้า มีคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยมีโอกาสใช้ชีวิตบนผืนดินอย่างเต็มที่ เพราะถูกขัดขวางด้วยการต่อสู้กับเหมืองมาก่อน แต่พอได้มาปลูกฝ้ายด้วยกัน ลงแปลงถอนหญ้าด้วยกัน เก็บพืชสำหรับย้อมสีธรรมชาติ พวกเขาก็เริ่มกลับมาเชื่อมโยงกับผืนดินอีกครั้ง ปกติแล้วคนวัย 20-30 ต้น ๆ มักรู้สึกว่าเหล่าคุณยายหรือแม่ๆ ไม่เข้าใจตน หรืออาจมองว่าคนรุ่นก่อนตัดสินวิถีชีวิตของพวกเขา ซึ่งเราทุกคนก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติในครอบครัว

“แต่การทอผ้ากลายเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเชื่อมโยงกันได้ และนั่นเป็นภาพที่สวยงามมาก”

Local Wisdom
จังหวะชีวิตบ้านเฮาผ่าน ‘ตำหูก’

แม่รจน์เล่าย้อนจุดเริ่มต้นในการทอผ้าต่อต้านการสร้างเหมืองว่า “ตอนนั้นคิดกันว่าเราจะรวมพลังคนทุกรุ่นได้ยังไง ทั้งรุ่นยาย รุ่นแม่ วัยรุ่น และเยาวชน เลยนึกถึง ‘การตำหูก’ หรือการทอผ้า ซึ่งเป็นประเพณีพื้นบ้านที่ห่างหายไปนาน เพราะสังคมเปลี่ยน คนรีบเร่งทำงานจนลืมสิ่งนี้ เราเลยตัดสินใจฟื้นศูนย์ทอผ้าขึ้นมาให้เป็นพื้นที่รวมคนทุกวัย โดยเฉพาะคุณยายที่อาจไม่มีแรงไปร่วมชุมนุม แต่ยังมีฝีมือทอผ้า”

คำว่า ‘ตำหูก’ หมายถึงการทอผ้า ‘หูก’ หรือ ‘ฟืม’ คืออุปกรณ์ในการทอ ส่วนคำว่า ‘ตำ’ มาจากจังหวะที่ใช้สองมือจับฟืมแล้วกระแทกลง เพื่อขึ้นลายบนผืนผ้า ทุกจังหวะของการกระแทกคือการเริ่มต้นของผ้าผืนใหม่ และยังเป็นเหมือนการย้ำเตือนถึงจุดยืนของชุมชน

การฟื้นภูมิปัญญาการตำหูกจึงไม่เพียงเป็นการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ยังกลายเป็นพลังสำคัญในการต่อสู้ เหล่าคุณยายเป็นกำลังหลักในการทอผ้า ส่วนคนรุ่นแม่และเยาวชนที่แข็งแรงก็ออกไปเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิ รายได้จากการขายผ้าถูกแบ่งเป็นกองทุนสนับสนุนการต่อสู้ ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตนมีคุณค่าและบทบาทสำคัญ การทอผ้ากลายเป็นพื้นที่กลางให้คนทุกวัยทำสิ่งที่ถนัด เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือการปกป้องบ้านและฟื้นฟูภูเขาของชุมชน

แต่สิ่งที่เหมืองทิ้งไว้ ไม่ได้มีแค่สิ่งแวดล้อมที่เสียหาย ความขัดแย้งยังลุกลามเข้าสู่ครอบครัวและชุมชน เพราะชาวบ้านบางกลุ่มเลือกทำงานให้เหมืองเพื่อเลี้ยงชีพ ขณะที่ก็มีหลายคนในชุมชนที่อยากปกป้องผืนดินของบรรพบุรุษ ทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยแน่นแฟ้นเริ่มแตกร้าว

แม่รจน์เล่าถึงบรรยากาศในวันนั้นว่า “ชาวบ้านแบ่งเป็นสองฝ่าย พี่น้องไม่คุยกัน ตัดขาดญาติมิตรแบบไม่เผาผีกันเลยในช่วงต่อสู้ วัฒนธรรมประเพณีของเราอย่างงานบุญก็ไม่ไปร่วมกัน มองหน้ากันแล้วยิ้มให้กันไม่ได้ มันเคืองอยู่ข้างใน เพราะเหมืองที่เข้ามาเห็นถึงผลประโยชน์ แต่เขาไม่ได้คิดถึงสังคมเราเลยว่าทําให้เราเดือดร้อน เงินที่ชาวบ้านได้มาจากการทำเหมืองต้องแลกกับชีวิตที่มีสารโลหะหนักปนเปื้อนอยู่ในตัวเขา และครอบครัวที่ทะเลาะกัน”

เมื่อสถานการณ์ยืดเยื้อ กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดจึงเริ่มคิดถึงแผนฟื้นฟูหมู่บ้านของตัวเอง สิ่งสำคัญที่แม่รจน์คำนึงถึงไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม หากเป็นการเยียวยาหัวใจของคนในหมู่บ้าน “สิ่งแรกที่เราอยากได้คือการกลับมาเป็นพี่น้องกัน อยากกินข้าวด้วยกัน มองหน้ากันแล้วยิ้ม เห็นกันแล้วเรียกกันได้ว่ามากินข้าวกันเด้อ เพราะความจริงแล้วความรู้สึกข้างในของชาวบ้านคือเรารักกัน ก็เลยอยากฟื้นฟูความขัดแย้ง เอาสังคม วัฒนธรรม รวมถึงประเพณีของเรากลับมา ดึงสารพิษให้ออกจากชุมชน ที่ไร่ที่นาต้องกลับมาใช้ประโยชน์ได้”

ชุมชนต่อสู้ทางกฎหมายอย่างยาวนานกว่า 20 คดี และชนะทั้งหมด พวกเขาเดินทางไปศาลเดือนละหลายครั้ง นำข้าวและส้มตำไปนั่งรอกันทั้งวันจนค่ำ เชื่อเสมอว่าคดีนี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของส่วนรวม เป้าหมายคือฟื้นฟูบ้านเกิดให้ได้

ปี 2560 ชุมชนฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เหมืองฟื้นฟูพื้นที่และเยียวยาชุมชน ศาลมีคำพิพากษาให้ชาวบ้านชนะ และมีสิทธิ์ร่วมทุกขั้นตอนของแผนฟื้นฟู แต่แม่รจน์เล่าว่า ความรู้สึกกลับเหมือนฝันสลาย เมื่อบริษัทที่ก่อสร้างเหมืองล้มละลาย แม้กฎหมายไม่บังคับให้รับผิดชอบต่อ แต่ในมุมของชาวบ้าน หากผู้ก่อผลกระทบมีสามัญสำนึกก็ควรกลับมารับผิดชอบ

แม่รจน์จึงนำทัพสู้ต่อด้วยตัวเอง นำแผนฟื้นฟูของชาวบ้านเข้าไปคุยกับหน่วยงานตั้งแต่ระดับอำเภอ กรุงเทพฯ ไปจนถึงระดับประเทศ ใช้เวลา 4-5 ปีกว่าจะได้สิทธิ์ให้ชาวบ้านในชุมชนมีที่นั่งเป็นบอร์ดร่วมครึ่งหนึ่งของคณะกรรมการเพื่อออกความเห็นในแผนฟื้นฟูบ้านเกิดของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคที่แม่รจน์พบคือแม้หน่วยงานรัฐจะสนับสนุนแผนฟื้นฟูชุมชน เช่น ชลประทานบําบัดในพื้นที่เหมือง แต่บางครั้งอาจลืมคิดว่าสารเคมีปนเปื้อนได้กระจายไปไกลกว่าจุดกำเนิดที่ก่อสร้างเหมืองแล้ว และยังหลงลืมการฟื้นฟูชุมชนในมิติอื่นๆ ทั้งสังคม ประเพณี วัฒนธรรม เหล่าแม่ๆ จึงยังต้องยืนหยัดผลักดันกลยุทธ์การฟื้นฟูให้ครบทุกมิติ

ทั้งนี้แม่รจน์ยังเล่าว่าโดยปกติชุมชนจะไลฟ์ขายผ้าในเพจ ‘กลุ่มตำหูกบ้านนาหนองบง - สู้เหมือง’ ด้วย แต่สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการขายผ้า คือการสื่อสารเรื่องราวให้คนนอกรับรู้ว่า แม้จะปิดเหมืองได้แล้วก็ไม่ใช่ว่าชาวบ้านจะสบาย แต่ชุมชนยังคงต้องต่อสู้เรื่องการฟื้นฟูจากรุ่นสู่รุ่นต่อไป

สู้เหมืองผ่านโรงเรียนทอผ้า

หนึ่งในแผนฟื้นฟูชุมชนที่สำคัญ คือการก่อตั้งโรงเรียนทอผ้าเพื่อเปิดพื้นที่ให้คนทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ได้กลับมารวมตัว ถ่ายทอดภูมิปัญญา และสร้างรายได้จากงานฝีมือที่สั่งสมมาทั้งชีวิต

แม่รจน์เล่าว่า “ตอนต่อสู้กับเหมือง แม่ๆ หลายคนก็ทอผ้าอยู่แล้ว บางคนย้อมสีธรรมชาติ บางคนใช้สีเคมี แต่พอปิดเหมืองได้ เราอยากเพิ่มคุณค่าให้คำว่า ‘ตำหูก’ มากขึ้น จึงสร้างโรงเรียนทอผ้าขึ้นมา”

ศูนย์ทอผ้าฝ้ายไร้สารเคมีของชุมชนจึงถือกำเนิดขึ้น แรงบันดาลใจจากการต่อสู้กลายเป็นเหตุผลให้ชุมชนหันมาใช้กระบวนการธรรมชาติในการผลิตผ้ามากขึ้น ทุกจังหวะที่เหยียบฟืมหรือหูกลงบนกี่ เปรียบเหมือนคำประกาศกับตัวเองว่า ‘เราต้องปิดเหมืองให้ได้’ พร้อมฟื้นฟูธรรมชาติไปในเวลาเดียวกัน สีสันและลวดลายส่วนใหญ่บนผืนผ้าจึงได้จากพืชพรรณท้องถิ่น เช่น เบือก ประดู่ คอส้ม หูกวาง และหญ้าดอกขาว

แม่รจน์บอกว่าผ้าทุกผืนมีลายเซ็นของผู้ทอชัดเจน “เรามองก็รู้เลยว่าเป็นลายของแม่คนนี้ แต่ละคนมีสไตล์ประจำ บางคนชอบเอิร์ทโทน บางคนใช้สีสด บางคนทำลายใหญ่สลับเล็ก ทุกผืนสะท้อนตัวตนของผู้ทอเต็มที่”

หลักสูตรของโรงเรียนทอผ้าสอนทุกขั้นตอนในการทำผ้าทอ ตั้งแต่การปลูกฝ้าย เก็บดอกฝ้าย เข็นฝ้าย ย้อม ออกแบบลาย ทอผ้า ครูผู้สอนคือเหล่าแม่ๆ วัย 70-80 ปีที่สั่งสมประสบการณ์ทอผ้ามาเนิ่นนาน ซึ่งครั้งหนึ่งพวกเธอเคยคิดว่าความรู้ของตัวเองไม่มีค่า บางคนเคยพูดว่า ‘โอ๊ย จะเป็นครูได้ยังไง ไม่ได้จบปริญญาตรี ปริญญาเอก ไม่ได้เรียนอะไรเลย’ แต่การสอนทำให้แม่ๆ รู้สึกว่าความรู้เหล่านี้มีคุณค่า สามารถ

ส่งต่อภูมิปัญญาที่หาเรียนจากที่ไหนไม่ได้ให้คนรุ่นใหม่และนักรณรงค์ที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันมา

ที่ผ่านมาโรงเรียนทอผ้าเปิดสอนมาแล้ว 2 รุ่น มีนักเรียนทุกช่วงวัยตั้งแต่ 50 ปีจนถึงเด็กวัย 20 โดยแม่รจน์บอกว่ารุ่นที่ 2 มีคนรุ่นใหม่สนใจเรียนมากขึ้น ความประทับใจของทุกคนคือวันจบการศึกษา (graduation ceremony) ที่มีกิจกรรมสำคัญอย่างนิทรรศการผ้าทอมือและแฟชั่นโชว์ พร้อมการประมูลผ้าทอของเหล่านักเรียนที่มาเล่าเรื่องราวผลงานการทอผ้าด้วยความภาคภูมิใจ

ภูมิ–วันชัย สุธงสา คนรุ่นใหม่ผู้รับหน้าที่พิธีกรในงานวันนั้นได้เล่าว่า การประมูลช่วยเพิ่มมูลค่าผ้าได้ถึงหลักหลายพัน ส่วน ก้อง–สมบัติ นิพวงลา หนึ่งในนักเรียนโรงเรียนทอผ้าก็สารภาพว่าตอนแรกตั้งใจจะเรียนเพียงบางส่วนของหลักสูตร และกังวลว่าจะไม่มีคนมาสมัครมากนัก แต่สุดท้ายก็ภูมิใจที่โรงเรียนประสบความสำเร็จ ทั้งสนุกและได้เรียนรู้เกินคาด พร้อมยังได้ผลงานทอผ้าของตัวเองชื่อ ‘บังเอิญสวย’ กลับไป

ตัวอย่างผลงานผ้าทอในวันจบการศึกษาที่ภูมิประทับใจมีทั้ง ‘ผ้ารอยแร่’ ของแม่จีน ซึ่งใช้คำว่า ‘แร่’ เพื่อสื่อถึงธาตุหรือทองคำที่อยู่ตามธรรมชาติ แต่เมื่อแร่เหล่านี้เป็นต้นเหตุของปัญหาและความทุกข์ จึงย้อมผ้าเป็นสีเขียวเบือกเพื่อสื่อถึงธรรมชาติของบ้านเกิด อีกผืนที่แม่รจน์เล่าให้ฟังคือ ‘ความสุขที่หายไป’ ของพี่มน ที่ถ่ายทอดแรงผลักดันในการอยากสู้ต่อ และอยากเอาความสุขที่หายไปตอนต่อสู้กับเหมืองกลับคืนมา เพียงมองผืนผ้าก็เหมือนได้แรงกระตุ้นให้เดินหน้าปกป้องบ้านเกิดต่อ

การทอผ้าแต่ละผืนใช้เวลามาก บางครั้งต้องเดินเก็บใบเบือกริมลำธารมาทำสีย้อม ในมุมของคนรุ่นใหม่อย่างภูมิและก้อง ผ้าทุกผืนจึงเปรียบเสมือนบันทึกความทรงจำและความรู้สึกของผู้ทอดังที่ภูมิเล่าว่า “เมื่อก่อนเวลาไปศูนย์ราชการ ทุกคนมักดูถูกว่าชาวบ้านจะมีความรู้ไปสู้กับบริษัทใหญ่ได้เหรอ แต่มันก็ทำได้จริงๆ ทำให้เราภูมิใจในความเป็นหนึ่งเดียวกันของชุมชน”

โรงเรียนทอผ้ายังช่วยให้เยาวชนที่เกิดไม่ทันเหตุการณ์ต่อสู้ หรือคนที่ไปเรียนในเมือง ได้กลับมารู้จักเรื่องราวความเข้มแข็งของชุมชนผ่านบรรยากาศอันอบอุ่นที่แม่ๆ นั่งทอผ้าข้างๆ วัยรุ่น เป็นกิจกรรมที่ทำให้แม่กับลูกสนิทกันมากขึ้น อย่างก้องก็ชวนแม่และยายมาทอผ้าด้วย กิจกรรมเหล่านี้ทำให้ศูนย์ทอผ้ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง

ทั้งนี้การทอผ้ายังเชื่อมโยงกับประเพณีเก่าแก่ของชุมชนอย่างการเข็นฝ้ายรอบกองไฟในคืนหน้าหนาว แม่รจน์เล่าว่า สมัยก่อนเชื่อกันว่าบ้านไหนมีลูกสาวต้องทอผ้าและเข็นฝ้ายให้เป็น มิฉะนั้นจะไม่มีแฟน กลางคืนสาวๆ ในหมู่บ้านจะมารวมตัวรอบกองไฟ เสียงเข็นฝ้ายดังไปทั่วหมู่บ้าน มีผู้บ่าวมาชวนคุยโสเหล่กันสนุกสนาน และทุกบ้านก็มีความกระตือรือร้นว่าต้องทอผ้าให้เป็น ไม่ให้แพ้บ้านอื่น

Social Enterprise Wisdom
Moment of Solidarity

เบ็คกี้เริ่มต้นเส้นทางการเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนในฐานะนักศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและรัฐศาสตร์ (International Relations และ Political Science) ผ่านโครงการแลกเปลี่ยนชื่อ CIE เพื่อเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาจากชุมชนรากหญ้าที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ เช่น เขื่อน เหมืองแร่ เกษตรเคมี หรือโครงการรถไฟในเมืองที่กระทบต่อชุมชนแออัด

ระหว่างโปรแกรม เธอได้เดินทางไปยัง 6 ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองทอง และได้รู้จักกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดซึ่งขณะนั้นเพิ่งเริ่มต้นการเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ปีหลังเหมืองทองคำเปิดที่นาหนองบงในปี 2010 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เธอได้พบกับแม่รจน์

“ตอนนั้นชุมชนกำลังจัดวิดีโอคอลกับคนจากรัฐเคนทักกี้ สหรัฐฯ ที่ต่อสู้ต่อต้านเหมืองถ่านหินมาหลายรุ่น และบังเอิญว่าตัวฉันเองก็มาจากรัฐเคนทักกี้ จึงรู้สึกแปลกใจมากที่บ้านเกิดของตัวเองเชื่อมโยงกับการต่อสู้ของพวกเขา มันเป็นประสบการณ์ที่ทรงพลัง และเนื่องจากตอนนั้นทั้งชุมชนและนักศึกษาที่มาเยือนต่างก็อยู่ในช่วงเริ่มต้นเรียนรู้ เลยเชื่อมต่อกันได้ง่าย” เบ็คกี้เล่า

ความผูกพันกับชุมชนค่อยๆ เติบโต เบ็คกี้แวะเวียนมาเยี่ยมแม่รจน์อยู่เสมอ เห็นหมู่บ้านผ่านทั้งช่วงเวลาการต่อสู้ที่เข้มข้นและเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จนเธอมองว่าแม่รจน์เป็นเหมือนแม่อีกคนของเธอในประเทศไทย

เธอและเพื่อนๆ ได้จัดโครงการแลกเปลี่ยน พาชาวบ้านและนักศึกษาจากสหรัฐฯ ไปเรียนรู้กับชุมชนอื่นที่เผชิญผลกระทบจากเหมืองเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือการจัดการแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่ร่วมกับชุมชน 3 แห่งในรัฐโออาซากา ประเทศเม็กซิโก ซึ่งพาผู้เข้าร่วมไปดูทั้งสถานที่จริงและวิธีการต่อสู้ที่แตกต่างกัน พร้อมทั้งได้เรียนรู้จากชุมชน First Nations ในแคนาดา และชุมชนจากอาร์เจนตินา

“ระหว่างอยู่ที่เม็กซิโก หนึ่งในชุมชนที่แข็งแกร่งที่สุดที่เราพบ ซึ่งสามารถต่อต้านการก่อสร้างเหมืองได้สำเร็จ มีโครงการเศรษฐกิจและสังคมขนาดเล็กหลายอย่างที่ริเริ่มขึ้นเพื่อรวมผู้คนให้มาทำกิจกรรมร่วมกันและช่วยกันจัดตั้งองค์กร แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการต่อต้านเหมืองเลย เช่น การท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่ที่สวยงาม หรือการขายขวดน้ำดื่ม สิ่งนี้เหมือนเป็นการหว่านเมล็ดความคิดในใจเราว่าอาจจะมีวิธีการอื่นๆ ในการจัดตั้งและเสริมความแข็งแกร่งให้กับการต่อสู้”

RadGram ได้ถือกำเนิดขึ้นราว 3 เดือนหลังจากทริปนั้นเอง แม้เบ็คกี้และเพื่อนๆ ที่เรียนสายสังคมมาไม่มีพื้นฐานด้านธุรกิจ แต่เพราะมองเห็นว่าการสร้างตลาดให้ผ้าทอจากชุมชนจะช่วยสนับสนุนเงินทุนในการต่อสู้คัดค้านเหมืองได้ พวกเธอจึงเริ่มจากโมเดลการยื่นขอ grant (เงินสนับสนุน) จากมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เพื่อสร้างธุรกิจเพื่อสังคม ซึ่งไม่ผ่านการคัดเลือกในตอนนั้น จึงเปลี่ยนมาเริ่มจากสร้างแคมเปญระดมทุนผ่าน Indiegogo (แพลตฟอร์ม crowdfunding) แทน ซึ่งได้รับการสนับสนุนเงินทุนตามเป้าหมายภายใน 24 ชั่วโมง

“มันทำให้เราเห็นว่าการผสานโมเดลธุรกิจเข้าไปช่วยให้ผู้คนร่วมสนับสนุนชุมชนง่ายขึ้น ทุกการบริจาค 50 ดอลลาร์สหรัฐ จะได้รับผ้าพันคอ 1 ผืน ซึ่งกลายเป็นคำสั่งซื้อชุดแรก”

ตลอดห้าปีแรก RadGram ดำเนินงานในรูปแบบอาสาสมัคร โดยมีองค์กรไม่แสวงกำไรโดยเครือข่ายศิษย์เก่าของโปรแกรมนักศึกษาแลกเปลี่ยนเป็นผู้สนับสนุนหลัก จากนั้นก็ตัดสินใจจดทะเบียนเป็นองค์กรไม่แสวงกำไรในสหรัฐฯ พร้อมตั้งคณะกรรมการบริหารและขยายการสร้างผลกระทบร่วมกับชุมชนอื่นๆ เพิ่มเติม สนับสนุนชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองให้เริ่มทำธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเอง รวมถึงทำโครงการฟื้นฟูองค์รวม เช่น ชุมชนต่อต้านเหมืองหินที่น่านซึ่งเพิ่งปิดเหมืองได้สำเร็จเช่นกัน วางแผนสนับสนุนการทอเสื่อแบบดั้งเดิมของชาวบ้านเพื่อทำเป็นสินค้าของใช้ในบ้านอย่างที่รองแก้วน้ำและที่รองจาน

ในสหรัฐฯ สินค้าหลักของ RadGram โดยกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดขายผ่านเว็บไซต์ radicalgrandmacollective.com และตามตลาดนัดช่วงคริสต์มาส ซึ่งอากาศหนาวทำให้ผ้าพันคอขายได้ง่าย หลายคนซื้อเป็นของขวัญให้แม่หรือคุณย่า ส่วนในไทย ขายผ่านร้าน Golden Land Solidarity ในเชียงใหม่ ซึ่งเบื้องหลังทำงานร่วมกับช่างฝีมือจากเมียนมาและกลุ่มผู้หญิงนักเคลื่อนไหว (civil disobedience movement) รวมถึงขายตรงผ่านอินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก

“เรามีข้อมูลว่าลักษณะผ้าทอแบบไหนขายดีในสหรัฐฯ แต่เราจะไม่เจาะจงเรื่องสีมาก เพราะพบว่าการกำหนดสเปกผ้าเยอะเกินไปทำให้แม่ๆ สนุกน้อยลง พวกเธอสนุกกว่ามากเมื่อได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง” ส่วนใหญ่ทีมของเบ็คกี้จึงระบุเพียงประเภทของลวดลายผ้า และให้เหล่าคุณยายยังมีอิสระในการเลือกสีใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองและเป็นผู้ออกแบบหลัก โดยทุกวันนี้ RadGram ยังคงมีเป้าหมายในการมองหาทุนระยะยาวจากกองทุนหรือแหล่งสนับสนุนใหญ่ต่อไป

Grandma Knows Best

ท่ามกลางการสนับสนุนชุมชนในระยะยาวที่ดำเนินไปเป็นระยะเวลาหลายปี เบ็คกี้พบว่าภายหลังการปิดเหมือง ชีวิตของชาวบ้านยังคงเผชิญกับความยากลำบาก เพราะประเทศไทยไม่มี พ.ร.บ.ฟื้นฟูพื้นที่เหมืองเหมือนหลายประเทศ บริษัทที่ทำงานด้านนี้ก็มีน้อย จึงไม่มีขั้นตอนทางกฎหมายชัดเจนว่าจะต้องดำเนินการยังไง

การสนับสนุนชุมชนในการขับเคลื่อนด้านการฟื้นฟูจึงเป็นเรื่องใหม่ แต่เธอกับแม่รจน์ต่างเห็นพ้องว่าการฟื้นฟูต้องทำในทุกมิติ ทั้งระบบนิเวศ สาธารณสุข วัฒนธรรม และการเยียวยาจิตใจ โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในแต่ละด้านเป็นผู้นำ ส่วน RadGram มีหน้าที่คอยสนับสนุนและผลักดันให้กระบวนการเหล่านี้เดินหน้า

นอกจากโรงเรียนสอนทอผ้าที่ทำร่วมกันกับชาวบ้านแล้ว RadGram ยังริเริ่มโครงการทำวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบทางสุขภาพจิตและบาดแผลจากการต่อสู้ รวมถึงกิจกรรมปลูกต้นไม้บนภูเขาที่ช่วยฟื้นทั้งระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ และกำลังใจ

“สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการทำงานฟื้นฟูก็คือ ทุกมิติทำงานสัมพันธ์กัน เมื่อผู้คนมาร่วมกันปลูกต้นไม้บนภูเขาที่เคยเป็นเหมือง เรากำลังฟื้นฟูระบบนิเวศไปพร้อมกับฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพราะพวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกันทำสิ่งที่เป็นประโยชน์” เบ็คกี้กล่าว

โปรแกรมการศึกษาก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ยังคงทำต่อเนื่อง เช่น โครงการฝึกงานที่พานักศึกษาจากญี่ปุ่น สหรัฐฯ ไทย และฝรั่งเศส ไปอาศัยอยู่กับชุมชน เพื่อเรียนรู้การพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม ผลลัพธ์จึงออกมาเป็นโครงการท่องเที่ยวโดยชุมชน การทำสื่อแนะนำพื้นที่ และคอนเทนต์สำหรับเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย

เมื่อถามเบ็คกี้ว่าการเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและรัฐศาสตร์ช่วยให้เธอทำงานพัฒนาชุมชนในสนามจริงได้ยังไง เบ็คกี้ตอบได้อย่างน่าประทับใจว่า แม้กรอบคิดจากมหาวิทยาลัยจะช่วยให้เข้าใจภาพรวม แต่ในภาคสนามกลับเห็นชัดว่าโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่ตั้งใจเพิ่ม GDP หรือยกระดับเศรษฐกิจ มักสร้างผลกระทบด้านลบต่อชุมชน และวิธีการทำความเข้าใจปัญหาของชาวบ้านในเชิงวิชาการมักล้มเหลว เธอเชื่อว่าการวางกลยุทธ์ต้องเริ่มจากการพูดคุยกับคนในพื้นที่ เพราะแหล่งความรู้แรกและสำคัญที่สุดคือชุมชน นักพัฒนาสังคมจึงควรใช้เวลามากขึ้นในการพูดคุยและฟังชาวบ้านอย่างแม่รจน์ เพื่อเข้าใจในปัญหาอย่างแท้จริง

สำหรับเธอ ปัญหาหนึ่งขององค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศคือการออกแบบโครงการจากเป้าหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ทำให้ขาดความยืดหยุ่นและมองข้ามความต้องการจริง เช่น การตั้งเป้าหมายว่าอยากปลูกป่าชายเลน แล้วหาพื้นที่ในการปลูกป่าโดยไม่ได้ฟังเสียงคนในพื้นที่ ซึ่งเบ็คกี้มองว่ามีวิธีที่ยั่งยืนกว่านั้น

“วิธีการแบบเฟมินิสต์ คือเริ่มจากความสัมพันธ์กับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ก่อน แล้วค่อยดูว่าพวกเขาต้องการอะไรและอยากได้อะไร มันอาจจะช้ากว่า และดูไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในเชิงโครงการ แต่เป็นวิธีที่จริงใจกว่าและยั่งยืนกว่า”

เธอย้ำว่า RadGram ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการทอผ้าหรือธุรกิจเพื่อสังคม แต่เพราะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนในพื้นที่ จึงมองเห็นช่องว่างที่สามารถเข้าไปช่วยได้ “สำหรับเราชาวบ้านในชุมชนเป็นคนที่จะบอกได้ว่า สิ่งที่เราทำมันคุ้มค่าหรือไม่ ถ้าเขารู้สึกว่ามันคุ้มค่าก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว เราไม่ได้มีตัวชี้วัดภายนอกอะไรที่ต้องวัดเทียบจริงๆ ด้านอิมแพกต์หรือความสำเร็จ แต่เราจะคอยเช็กกับชุมชนเสมอว่า สิ่งที่ทำอยู่ใช้ได้ผลหรือเปล่า

“ชาวบ้านเป็นผู้ที่อยู่บนผืนดินนั้นและรู้ดีที่สุดว่าจะรักษาที่ดินไว้ให้คนรุ่นต่อไปยังไง เพราะสิ่งนี้อยู่ในวัฒนธรรมและประเพณีของเขาแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่คนจากสหรัฐฯ จะไปคิดแทนได้ ความหวังของเราคือ การสร้างศักยภาพให้ชาวบ้านสามารถขับเคลื่อนตัวเองและพัฒนาตัวเองได้ในฐานะชุมชน แทนที่จะเป็นแค่การรับสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีแบบ top-down”
เธอหวังว่าโรงเรียนทอผ้าจะเป็นพื้นที่ให้คนมารวมตัว สร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการรักษาความสัมพันธ์ของชุมชนให้เข้มแข็งเพื่อพร้อมปกป้องผืนดินจากโครงการใดๆ ในอนาคตที่อาจเข้ามารุกรานชุมชน และเมื่อชาวบ้านรู้สึกภูมิใจในบ้านเกิดของตัวเอง ความภูมิใจนี้จะทำให้การปกป้องรักษาทุกอย่างง่ายขึ้น

เมื่อถามเบ็คกี้ถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากเหล่า ‘Grandma’ เธอยิ้มแล้วเล่าว่า

“สิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้คือการให้ความสำคัญกับ ‘งานดูแล’ (care work) ในการเคลื่อนไหว คนที่โดดเด่นในขบวนการต่อต้านเหมืองมักเป็นคนที่ถือไมค์ปราศรัย ซึ่งแม่ๆ หลายคนก็ทำเป็นงานสำคัญ แต่สิ่งที่ทำให้การต่อสู้ยังดำเนินต่อไปได้จริงๆ คือคนที่เตรียมส้มตำให้ทุกคนกินหลังกลับจากศาล หรือดูแลเด็กในขณะที่ครอบครัวออกไปเคลื่อนไหว
“งานดูแลเหล่านี้มักมองไม่เห็นและไม่ได้รับความสนใจ แต่จำเป็นมาก ถ้าไม่มี การต่อสู้ก็ไม่เกิด ฉันเรียนรู้จากแม่ๆ ว่างานดูแลที่ผู้หญิงหรือคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ทำมีความสำคัญขนาดไหน

“อีกอย่างที่ได้เรียนรู้จากชุมชนอีสานคือ ความสำคัญของความสนุก ความสุข และการเต้นเพื่อสร้างกำลังใจ แม้พวกเธอกำลังเผชิญปัญหาอย่างหนักหน่วง แต่ถ้าเปิดเพลงหมอลำ ทุกคนก็จะลุกขึ้นมาเต้นทันที มันช่วยเติมความสุขให้ผู้คน และนี่คือสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาพลังให้มีความสุขระหว่างการต่อสู้ แม้ในตอนประท้วงเหล่าคุณยายก็ยังมีความสนุกอยู่บ้าง แม้จะไม่ใช่ทุกครั้ง แต่ก็เกิดขึ้นเสมอ”

ขอบคุณรูปจาก Radical Grandma Collective, กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด และ กลุ่มตำหูกบ้านนาหนองบง - สู้เหมือง’

Editor’s Note : Wisdom from Conversation

Radical, Fierce, Bold คำเหล่านี้มักทำให้นึกถึงภาพของความหัวแข็ง ดื้อดึง และขบถ แต่ในอีกมิติหนึ่ง ความเข้มแข็งของคนเราสามารถปรากฏในรูปแบบพลังงานผู้หญิง (feminine energy) ที่ใช้ความอ่อนโยนและภูมิปัญญางานฝีมือเป็นแรงขับเคลื่อน เหมือนขบวนการของเหล่าคุณยายในนาม Radical Grandma Collective ที่ใช้การทอผ้า ซึ่งนำโดยผู้หญิงในชุมชน เป็นอาวุธปกป้องบ้านเกิดอย่างยืนระยะมาตลอดเกือบ 20 ปี
ความเข้มแข็งและความกล้าหาญจึงไม่จำเป็นต้องแสดงออกผ่านเสียงตะโกนหรือการลุกขึ้นสู้แบบตรงไปตรงมาเสมอไป Radical Act สามารถเป็นสิ่งที่ทำได้ทางอ้อมผ่านโรงเรียนทอผ้า กิจกรรมขับเคลื่อนชุมชน หรือแม้แต่การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังโดยผู้หญิงในครัวและผู้สูงวัยผ่านงานดูแล (care work) และงานทอที่แม้จะอ่อนโยน แต่กลับทรงพลังอย่างลึกซึ้ง
สำหรับชุมชนแห่งนี้ การทอผ้าไม่ใช่เพียงการผลิตสินค้า หากคือการเยียวยาบาดแแผลและส่งต่อความหวังให้ทุกคนก้าวต่อไปด้วยกัน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Capital

ส่องเทรนด์เฮลตี้ที่ชวนมา Move, Groove, Connect แบบเป็นแก๊งกับสปอร์ตคลับ

08 ส.ค. เวลา 11.01 น.

การส่งออกไทยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หลังทรัมป์ขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ 19%

07 ส.ค. เวลา 12.59 น.

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

ริ้วรอยวัย 40+ ควรระวังยังไง ? อัปเดต 15 เซรั่มลดริ้วรอย คืนผิวอ่อนเยาว์

SistaCafe

เปิดตัวหนังสือตามแนวพระดำริใน เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ฯ ชู “อนาคตแฟชั่นที่ยั่งยืน” จากมหัศจรรย์เส้นใยไทย

ประชาชาติธุรกิจ

MIT เผย AI ทำคนสมองฝ่อจริง! โดยคนใช้ ChatGPT ฝ่อหนักสุด และที่น่าห่วงกว่าคือ ‘เด็กรุ่นใหม่’

Mission To The Moon

Trip Moments ดึงครีเอเตอร์เอเชียสัมผัสก่อนใคร Pre-Opening สวนสนุก Junglia Okinawa

Insight Daily

สิงหานี้…บินลัดฟ้าไปฮ่องกง ตามรอย “CHIIKAWA DAYS Exhibition” เวอร์ชั่นติ่มซำสุดคิวต์!

Gourmet & Cuisine

ต้อนรับวันแม่ 68 "สยามอะเมซิ่งพาร์ค" จัดโปรฯ ลดสูงสุด 65%

Manager Online

10 สุดยอดอาหารช่วยบำรุงเลือด ป้องกันภาวะโลหิตจาง ให้ร่างกายแข็งแรง

sanook.com

สัมผัสประสบการณ์แห่งสีสันและความหมายของดอกไม้

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

ส่องเทรนด์เฮลตี้ที่ชวนมา Move, Groove, Connect แบบเป็นแก๊งกับสปอร์ตคลับ

Capital

คุยกับ ‘คุ้ย ทวีวัฒน์’ ถึง ‘ท่าแร่’ และตำราความหลอนที่นำ 13 Studio ยืนหยัดในธุรกิจหนังไทย

Capital

Jurassic World: The Experience กับการปลุกเทรนด์ Family Tourism ในไทย

Capital
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...