เสียงจากไร่ข้าวโพด : หยุดวงจรราคาตกซ้ำซาก ถึงเวลาปรับตัวสู่การผลิตที่ยั่งยืน
ตามที่ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประกาศให้ผู้รวบรวม หรือ พ่อค้าพืชไร่ต้องรับซื้อข้าวโพดจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 7.05 บาท สำหรับข้าวโพดที่มีความชื้นร้อยละ 30 และสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย พร้อมเปิดโรงงานรับซื้อ (ยกเว้นพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ผลผลิตยังไม่ออก) ถือเป็นมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรในจังหวัดเพชรบูรณ์ที่เผชิญปัญหาราคาผลผลิตอ่อนตัวลงหนักกว่าปีที่ผ่านมา จนหลายรายขายได้ในราคาขาดทุน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยืนยันชัดเจนว่า ราคาข้าวโพดที่ตกต่ำในปีนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการนำเข้าจากสหรัฐฯ เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการเจรจาและกำหนดมาตรการนำเข้า หากจะมีการนำเข้าก็เป็นปีหน้า และมีเป้าหมายเพียงเพื่อทดแทนผลผลิตที่ไม่เพียงพอในประเทศเท่านั้น
ปัจจุบัน การผลิตข้าวโพดในประเทศทำได้ประมาณ 4.59 ล้านตัน แต่ความต้องการใช้จริงสูงอยู่ที่ประมาณ 9.2 ล้านตัน ปัญหาสำคัญจึงมาจาก กลไกตลาด ที่ผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันจำนวนมาก ทำให้อุปทาน (supply) สูงกว่าอุปสงค์ (demand) จึงเป็นธรรมดาที่ราคาจะปรับตัวลดลง
แถมในปีนี้ยังมีกระแสข่าวลือว่า โรงงานอาหารสัตว์จะหันไปนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐ และไม่รับซื้อผลผลิตในประเทศ ข่าวที่ไม่จริงนี้สร้างความกังวล กดดันให้เกษตรกรหลายรายแข่งกันขายผลผลิตออกไป ไม่มีอำนาจต่อรอง บวกกับการฉวยโอกาสของผู้ค้าบางราย ยิ่งซ้ำเติมปัญหาราคาที่ตกอยู่แล้วให้หนักขึ้นไปอีก
การซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แตกต่างจากสินค้าเกษตรทั่วไป เพราะโรงงานอาหารสัตว์รับซื้อข้าวโพดเมล็ดแห้ง ที่มีความชื้นมาตรฐาน 14.5% ในราคาที่กรมการค้าภายในกำหนดไว้ที่กิโลกรัมละ 9.80 บาท แต่คุณภาพของข้าวโพดที่เกษตรกรส่วนใหญ่เก็บเกี่ยว เป็นข้าวโพดที่สด มีความชื้นสูงถึง 30-33% ซึ่งไม่ตรงตามมาตรฐานของโรงงานอาหารสัตว์
เกษตรกรจึงไม่สามารถรับซื้อโดยตรงได้ ต้องอาศัยพ่อค้าพืชไร่หรือ ผู้รวบรวมเป็นตัวกลางในการอบแห้ง ทั้งการตากแดด และการใช้เครื่องอบ ก่อนขายต่อให้โรงงานด้วยความชื้นตามมาตรฐาน
สำหรับกรณีของเกษตรกรในเพชรบูรณ์ ที่เป็นพื้นที่ที่เริ่มปลูกข้าวโพดเร็วกว่าพื้นที่ปลูกอื่นๆ โดยเริ่มปลูกตั้งแต่เดือน เมษายน-พฤษภาคม และเก็บเกี่ยวในสิงหาคม-กันยายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยังอยู่ในฤดูฝน
เช่นเดียวกับปีนี้ที่ในเดือนสิงหาคม ที่ยังมีพายุและฝนอยู่ เกษตรกรต้องรีบเก็บเกี่ยว เพื่อหลีกเลี่ยงผลผลิตเสียหาย ต้นข้าวโพดล้ม ทำให้ผลผลิตมีความชื้นสูง อีกทั้งยังมีต้นทุนเพิ่มจากการจ้างแรงงานเก็บข้าวโพดที่ล้ม ใช้รถไม่ได้ เมื่อรวมกับการหักค่าอบแห้ง และค่าขนส่ง ราคาที่เกษตรกรได้รับ จึงต่ำกว่าที่กรมการค้าภายในกำหนดไว้
มาตรการช่วยเหลือที่กำหนดราคารับซื้อขั้นต่ำที่ 7.05 บาท/กก. สำหรับข้าวโพดความชื้น 30% ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นไม่ให้เกษตรกรถูกกดราคามากเกินไป แม้จะช่วยบรรเทาเฉพาะหน้า แต่ยังคงเป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างตลาดและระบบการผลิตให้มีความยั่งยืน จึงทำให้เกษตรกรยังคงเผชิญปัญหาซ้ำซากเป็นวัฏจักรทุกปี
การสร้างความมั่นคงให้เกษตรกร ต้องแก้ที่ “รากของปัญหา” ไม่ใช่เพียงมาตรการกำหนดราคาขั้นต่ำเท่านั้น หากยังมีแนวทางที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กระทรวงพาณิชย์ ต่างมองเห็นเป็นทางเดียวกัน ได้แก่
1. ลดต้นทุนการผลิต – ผ่านการปรับราคาปัจจัยการผลิต และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ เช่น การมีข้อมูลฝนตก การกำหนดวันปลูก-วันเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม และการวิเคราะห์ดิน เพื่อใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เครื่องจักรที่ช่วยเพิ่มคุณภาพดิน
2. เพิ่มศักยภาพเกษตรกร เสริมองค์ความรู้ – ส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกร เพื่อการบริหารการใช้เครื่องจักรและเครื่องอบแห้งร่วมกัน สร้างเสริมความรู้ให้เกษตรกรพัฒนาการผลิต ปรับตัวรับความท้าทายต่างๆ
3. สร้างระบบตลาดโปร่งใสและเป็นธรรม – พัฒนาระบบการซื้อขายที่มีมาตรฐาน ต่อยอดมาจากการยกระดับคุณภาพของสินค้าได้ตรงตามมาตรฐาน สร้างเสถียรภาพของราคาสินค้า
ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรได้รับในปัจจุบัน ไม่ใช่ผลจาก การถูกเอารัดเอาเปรียบ แต่เป็นผลของกลไกตลาด และคุณภาพผลผลิต บางครั้งอาจเจอการฉวยโอกาสของผู้ซื้อในบางพื้นที่
มาตรการกำหนดราคาเป็นเพียงการประคับประคองระยะสั้น สิ่งที่จะทำให้เกษตรกรอยู่ได้อย่างมั่นคงจริงๆ คือ การพัฒนาศักยภาพของเกษตรกร สู่ระบบการผลิตที่ยั่งยืน ลดต้นทุน ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ผู้ผลิตสินค้าเกษตรของไทย จึงควรมองไปไกลกว่าการรอ “ราคาประกัน” แต่หันมาร่วมกันสร้างความเข้มแข็ง ในการผลิตของเกษตรกร เพื่อให้ได้ราคาขายสินค้าที่สะท้อนคุณภาพ สร้างสมดุลกลไกการตลาด เป็นคำตอบสู่การทำเกษตรที่มั่นคงและเกษตรกรอยู่ได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืน