"พริษฐ์" ซัด ปมรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย รัฐบาลล่าช้า-ไม่รอบคอบเอง อย่าโยนผิดฝ่ายค้าน
"พริษฐ์" ซัด ปมรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย รัฐบาลล่าช้า-ไม่รอบคอบเอง อย่าโยนผิดฝ่ายค้าน
วันที่ 27 ส.ค. 2568 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า โฆษกพรรคเพื่อไทย ควรยอมรับตรงๆว่า ต้นตอของความล่าช้าเรื่องนโยบาย 20 บาท มาจากความไม่รอบคอบของรัฐบาลเอง
ผมยืนยันว่า พรรคประชาชนเราเห็นด้วยกับ “หลักการ” ในการทำให้ระบบขนส่งสาธารณะทั้งในและนอก กทม. สะดวก ครอบคลุม และมีอัตราค่าโดยสารที่ประชาชนเข้าถึงได้ แต่ที่ผ่านมา เรามีข้อกังวลต่อ “วิธีการ” ที่รัฐบาลเลือกใช้ในการดำเนินนโยบาย 20 บาทตลอดสาย ทั้งในเรื่องของแหล่งงบประมาณและมาตรการป้องกันการเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการรายใดเกินจำเป็น
เมื่อเย็นที่ผ่านมา ผมเพิ่งได้มีโอกาสฟังการแถลงข่าวของคุณดนุพร ปุณณกันต์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับกรณีนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่รัฐบาลประกาศเลื่อนออกไปให้ล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมที่เคยวางไว้ว่าจะเริ่มต้นในวันที่ 1 ตุลาคม 2568
แม้คุณดนุพรได้เริ่มต้นด้วยการ “ขอโทษ” ประชาชน แต่ตลอดการแถลงข่าวนั้น เราได้เห็นแต่ความพยายามในการโยนความผิดทั้งหมดไปที่การที่กฎหมาย 3 ฉบับที่เกี่ยวข้อง ยังไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา รวมถึงความพยายามในการกระทบชิ่งมาที่พรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชน ทั้งๆที่ต้นตอทั้งหมดของปัญหานี้ มาจากความไม่รอบคอบและความไม่หนักแน่นของรัฐบาลเองในการผลักดันนโยบายเรือธงของตนเอง
แทนที่จะพยายามพาดพิงพรรคอื่น ผมเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กว่า หากพรรคเพื่อไทยตอบคำถามดังต่อไปนี้ให้ชัดๆ เพื่อให้สังคมสิ้นข้อสงสัย
1. เป็นแผนและความตั้งใจของรัฐบาลมาโดยตลอดเลยใช่หรือไม่ ว่ารัฐบาลจะเดินหน้านโยบายเรื่อง 20 บาทตลอดสาย ต่อเมื่อกฎหมาย 3 ฉบับ (พ.ร.บ. ราง / พ.ร.บ. ตั๋วร่วม / พ.ร.บ. รฟม.) ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาและประกาศบังคับใช้?
- ผมเข้าใจดีว่ากฎหมาย 3 ฉบับ มีความเชื่อมโยงกับนโยบาย 20 บาทตลอดสาย แต่การสื่อสารอย่างเป็นทางการของรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่เคยชี้ชัด ว่ากฎหมาย 3 ฉบับ นี้ เป็นเพียง “ตัวช่วย” ของรัฐบาลในการผลักดันนโยบาย หรือเป็น “เงื่อนไขตั้งต้น” ที่ต้องเสร็จก่อนถึงจะเริ่มดำเนินโยบายได้
- ในวันที่ 8 ก.ค. 2568 ที่ ครม. มีมติให้เริ่มคิดอัตราค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายตั้งแต่ 1 ต.ค. 2568 ทางรัฐบาลเองก็ไม่ได้มีการพูดถึงเงื่อนไขว่ารัฐสภาจะต้องผ่านกฎหมาย 3 ฉบับนี้ ถึงจะเริ่มอัตราค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายได้ ( https://www.thaipbs.or.th/news/content/354047 )
- ยิ่งไปกว่านั้น การเตรียมการที่ผ่านมาสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลัง 1 ต.ค. 2568 ก็ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่บนสมมุติฐานว่าจะเริ่มมีการใช้ระบบตั๋วร่วม (ที่เหลือบัตรใบเดียว) และการคำนวณแบบค่าโดยสารร่วมจริงๆ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ค้างอยู่ในสภา
- ทั้งหมดนี้เลยทำให้อดสงสัยไม่ได้ ว่ารัฐบาลตั้งใจจะรอให้กฎหมายผ่านก่อนจริงๆตั้งแต่แรกจริงๆหรือ? หรือว่าในแผนดั้งเดิม รัฐบาลตั้งใจจะดำเนินการด้วยวิธีการอื่นโดยไม่รอกฎหมาย แต่วันนี้รัฐบาลเพียงแค่หยิบเรื่องกฎหมาย 3 ฉบับมาอ้าง เพราะไม่สามารถดำเนินการได้ทัน 1 ต.ค. ที่ประกาศไป?
2. หากรัฐบาลยืนยันว่าเป็นแผนและความตั้งใจของรัฐบาลมาโดยตลอดว่า รัฐสภาจะต้องผ่านกฎหมาย 3 ฉบับ ก่อน ถึงจะเริ่มนโยบายเรื่อง 20 บาทตลอดสายได้ แล้วเหตุใดรัฐบาลถึงประกาศว่าจะเริ่มต้นวันที่ 1 ต.ค. 2568 ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปได้ยากที่กฎหมาย 3 ฉบับ จะผ่านและบังคับใช้ทันกรอบเวลาดังกล่าว?
- ในวันที่ 8 ก.ค. 2568 ที่ ครม. มีมติให้เริ่มคิดอัตราค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายตั้งแต่ 1 ต.ค. 2568 กฎหมาย 2 จาก 3 ฉบับ ยังไม่ถูกพิจารณาเสร็จในชั้น กมธ. ด้วยซ้ำ (พ.ร.บ. ตั๋วร่วม พิจารณาเสร็จในชั้น กมธ. วันที่ 31 ก.ค. 2568 / พ.ร.บ. รฟม. พิจารณาเสร็จในชั้น กมธ. วันที่ 30 ก.ค. 2568)
- ทั้งหมดนี้ จึงเท่ากับว่า รัฐบาลไปสัญญากับประชาชนว่าค่าโดยสารจะลดเหลือ 20 บาทในวันที่ 1 ต.ค. 2568 ทั้งๆที่รัฐบาลรู้ตั้งแต่วันนั้นอยู่แล้ว ว่าจะมีเวลาเพียงแค่ 2 เดือน ในการทำให้ร่างกฎหมายจากชั้น กมธ. ผ่านการบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมเพื่อต่อคิวกฎหมายอื่น + ผ่านการพิจารณารายมาตราในวาระที่ 2-3 ของสภาผู้แทนราษฎร + ผ่านการพิจารณา 3 วาระในชั้นวุฒิสภา + ถูกประกาศบังคับใช้ + มีการออกกฎหมายลูกตามมา ซึ่งเป็นการวางแผนกรอบเวลาที่กระชั้นชิดมากและแทบจะเป็นไปไม่ได้
3. หากรัฐบาลมีความมุ่งมั่นว่าต้องการจะทำให้กฎหมายทั้ง 3 ฉบับผ่านทุกขั้นตอนให้ได้ภายในกรอบ 2 เดือนจริงๆ แล้วเหตุใด สส. รัฐบาลเองกลับไม่มาร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียงและต่อเนื่อง เพื่อเร่งผลักดันกฎหมายดังกล่าว?
- ไม่ว่าทางโฆษกพรรคเพื่อไทยจะพูดพาดพิงพรรคฝ่ายค้านอย่างไร แต่ข้อเท็จจริงและคณิตศาสตร์พื้นฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ คือหาก สส. รัฐบาล มาประชุมสภากันครบทุกครั้ง สภาก็สามารถมีองค์ประชุมเพียงพอในการเดินหน้าประชุมและพิจารณาลงมติร่างกฎหมายต่อไปได้เรื่อยๆ ไมว่าการประชุมจะต้องดึกหรือลากยาวแค่ไหนก็ตาม
- แต่ในความเป็นจริง เรากลับเห็นรองประธานสภาจากพรรคเพื่อไทยเสียเอง ที่มักเป็นคนเลือกปิดประชุมสภาเร็วกว่ากำหนดในหลายครั้ง
4. ทางรัฐบาลจะเร่งหาทางออกหรือรับผิดชอบอย่างไร ต่อประชาชนที่อาจต้องเผชิญค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่สูงขึ้นกว่าที่พวกจ่ายอยู่ ณ ปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงว่าจากความบกพร่องของรัฐบาล?
- ที่ผ่านมา คน กทม. ที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นประจำ มักเลือกซื้อแพ็กเกจแบบเหมาเที่ยว (เช่น xx บาท สำหรับ xx เที่ยว) ซึ่งจะถูกกว่าการซื้อตั๋วเป็นครั้งๆ
- แต่เมื่อรัฐบาลประกาศว่านโยบาย 20 บาทจะเริ่ม 1 ต.ค. 2568 ทาง BTS จึงเพิ่งมีการประกาศยกเลิกขายแพ็กเกจแบบเหมาเที่ยวไป (เนื่องจากราคาต่อเที่ยวในแพ็กเกจดังกล่าวสูงกว่า 20 บาท) ซึ่งอาจทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงขึ้นระหว่าง 1 ต.ค. 2568 จนถึงวันที่เริ่มนโยบาย 20 บาท
- แม้ผมเข้าใจดีว่าการออกแบบแพ็กเกจเป็นเรื่องของเอกชน แต่ในเมื่อต้นตอของปัญหามาจากความผิดพลาดของรัฐบาล สิ่งที่ประชาชนรอฟังคือรัฐบาลจะหาแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไร
5. (คำถามแถม) เหตุใดโฆษกพรรคเพื่อไทยถึงต้องพูดทำนองว่าทางพรรคจะเดินหน้าผลักดันกฎหมาย 3 ฉบับนี้ “ทั้งๆที่พรรคเพื่อไทยมี สส.ในกรุงเทพและปริมณฑลเพียง 2 คนเท่านั้น”?
- ผมเชื่อว่านักการเมืองทุกคนทราบดี ว่าทุกพรรคการเมือง (ไม่ว่าจะมี สส. กี่คน หรือมี สส. จากพื้นที่ไหนบ้าง) มีหน้าที่ในการนำเสนอและผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์สำหรับประชาชนในทุกพื้นที่
- การที่โฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาพูดทำนองตัดพ้อในลักษณะดังกล่าว จึงทำให้สังคมอดคิดไม่ได้ ว่าหรือลึกๆแล้ว ท่านเชื่อจริงๆว่าพรรคการเมืองควรผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ทีพรรคตนเองมี สส. มากกว่าพื้นที่ที่พรรคตนเองไม่มี สส.?
ผมเสนอว่าหากท่านต้องการ “ขอโทษ” ประชาชน เกี่ยวกับความล่าช้าที่เกิดขึ้นจริงๆ ท่านควรหยุดเสียเวลาไปกับการหามุมในการโทษคนอื่น แต่ท่านควรเริ่มจากการยอมรับแบบตรงไปตรงมาว่าปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น มาจากความไม่รอบคอบและไม่จริงจังของรัฐบาลในการผลักดันแม้กระทั่งนโยบายเรือธงของตนเอง