‘มาริษ’ ส่งหลักฐานถึงรองข้าหลวงใหญ่ ‘ยูเอ็น’ ย้ำชัด ‘กัมพูชา’ รุกรานไทย
เมื่อวันที่ 27 ส.ค. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ได้หารือทวิภาคีกับนางนาดา อัล-นาชิฟ (Nada Al-Nashif) รองข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ที่สำนักงานใหญ่ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อแสดงข้อมูลหลักฐานและชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา หลังจากก่อนหน้านี้ นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เคยยื่นหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อส่งข้อมูลเกี่ยวกับกรณีที่ประเทศกัมพูชาใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในอาณาเขตของประเทศไทย เป็นไปตามพันธะกรณีภายในอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลหรืออนุสัญญาออตตาวา
ทั้งนี้ นายมาริษได้ยื่นหลักฐานต่อรองข้าหลวงใหญ่ฯ ทั้งเอกสารและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ เพื่อให้ทุกฝ่ายทราบว่ามีการปฏิบัติการที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยไม่สามารถยอมรับได้ ทั้งการโจมตีแบบไม่เลือกเป้า การโจมตีในเขตพื้นที่พลเรือน การใช้ทุนระเบิดสังหารบุคคล และการใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ซึ่งขัดต่อข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ ขณะที่ รองข้าหลวงใหญ่ฯ กล่าวขอบคุณที่รมว.ต่างประเทศของไทยเดินทางมาด้วยตัวเอง ทำให้สามารถพูดคุยสอบถามได้โดยตรง และเป็นการแสดงความจริงใจและจริงจังในการแก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนตลอดแนวพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา อีกทั้งได้มีหนังสือตอบกลับเพื่อเน้นย้ำความสำคัญเกี่ยวกับการใช้การสื่อสารในทางโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อสร้างความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ทำให้เกิดความแตกแยกปลุกปั่นให้เกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายมากยิ่งขึ้น
จากนั้น นายมาริษ ให้สัมภาษณ์หลังการเข้าพบว่า ตนได้เล่าให้รองข้าหลวงใหญ่ฯ ฟังถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกัมพูชา ซึ่งรองข้าหลวงใหญ่ฯ มีความเห็นที่สนับสนุนฝ่ายไทยในหลายเรื่อง และมีท่าทีที่ห่วงใยไทยมากเช่นกัน ซึ่งตนได้ชี้แจงข้อเท็จจริง โดยเฉพาะการที่กัมพูชาใช้สื่อโซเชียลโจมตีไทยมานานแล้ว รวมถึงมีการให้ข้อมูลว่าไทยลอกเลียนแบบวัดและประวัติศาสตร์ของกัมพูชา ซึ่งไทยพยายามแก้ไขปัญหานี้ด้วยความอดทนอดกลั้น และพยายามชี้แจงให้เห็นว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่ก่อตั้งกันมาจากรากเหง้าทางวัฒนธรรมเดียวกัน ไทยไม่ต้องการแสดงความร้าวฉานระหว่างชุมชนและ ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ แต่เมื่อปัญหาคุกรุ่นมากขึ้น ไทยได้พยายามแก้ปัญหาด้วยการให้กัมพูชามาพูดคุยแบบทวิภาคี ซึ่งไทยกับกัมพูชามีข้อตกลงตามเอ็มโอยู ไทย-กัมพูชา พ.ศ.2543 ที่กำหนดให้ต้องแก้ปัญหาร่วมกันอย่างสันติวิธีและด้วยความจริงใจ เป็นกลไกที่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้ความสำคัญ
รมว.ต่างประเทศ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ตนหยิบยกประเด็นที่สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา อัดเสียงสนทนาทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีของไทย แล้วนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง อีกทั้ง ตนได้อธิบายถึงการปะทะกันของทหารที่เกิดขึ้นจากฝ่ายกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยของไทยด้วยการใช้ทุ่นระเบิดและทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ ซึ่งในช่วงแรกไทยไม่ใช้กำลังตอบโต้ แต่ใช้วิธีปิดพรมแดนเพื่อไม่ให้ปัญหาทุ่นระเบิดขยายตัวไปถึงประชาชน แต่กัมพูชากลับมาโจมตีไทยก่อน เราจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการทางทหารโดยการจำกัดวง ซึ่งเป็นไปตามกฎบัตรยูเอ็น และกัมพูชายังละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศด้วยการใช้โล่มนุษย์ และให้พลเรือนมากดดันปฏิบัติการทางทหาร โดยไทยมีเขตพื้นที่ทางทหารอย่างชัดเจน การพูดคุยครั้งนี้เป็นสัญญาณบวกที่ดี ทำให้รองข้าหลวงใหญ่ฯ เข้าใจมากขึ้นในหลายเรื่องว่าไทยพยายามทำทุกอย่างตามกฎบัตรยูเอ็น
เมื่อถามว่ารองข้าหลวงใหญ่ฯ ให้คำแนะนำอย่างไรบ้าง นายมาริษ กล่าวว่า รองข้าหลวงใหญ่แนะนำอย่างเดียว คือเป็นไปตามกฎระเบียบของทั้งหมด และสนับสนุนเรื่องการพูดคุย เพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยต้องหาทางทำให้ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศไม่เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อีกทั้งไม่สนับสนุนการใช้สื่อโซเชียลเผยแพร่ข้อความบิดเบือน และไม่สนับสนุนให้มีการใช้สงครามข่าวสาร
นอกจากนี้ นายมาริษ ยังมีกำหนดการเข้าพบเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำการประชุมด้านการลดอาวุธ ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti Personel Mine Ban Convention : APMBC) ครั้งที่ 22 รวมถึงการพบหารือกับหัวหน้าการลดอาวุธแห่งสหประชาชาติ อีกทั้งจะพบหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (APMBC) ด้วย เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ทั้งหมด ต่อรัฐภาคีสำคัญในคณะกรรมการภายใต้อนุสัญญาออตตาวาที่กำกับดูแลการปฏิบัติตามอนุสัญญานี้ ซึ่งจะได้พบกลุ่มประเทศผู้บริจาคภารกิจการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและช่วยเหลือเหยื่อที่ได้รับผลกระทบ และภาคประชาสังคมระหว่างประเทศที่ทำงานด้านทุ่นระเบิด มีเป้าหมายเพื่อโน้มน้าวให้กัมพูชากลับเข้ามาปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา ร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิดกับไทย
นอกจากนี้ ไทยจะเข้าร่วมโครงการรณรงค์ของเลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและปฏิบัติการทุ่นระเบิด เป็นการตอกย้ำเจตนารมณ์และความจริงใจของไทยต่อการแก้ปัญหาทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั่วโลก.