ขอต้อนรับเข้าสู่ยุค ‘Happily Ever After’ ว่าด้วยจักรวาลชีวิตและความรักของเทย์เลอร์ สวิฟต์
ไม่ว่าคุณจะคลั่งไคล้หรือไม่ชอบใจ ติดตามมาตลอดหรือไม่ได้สนใจฟังเพลงเลย แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อเทย์เลอร์ สวิฟต์เคลื่อนไหวอะไร คุณจะเห็นข่าวเธอไปทั่วทุกหนแห่งในอินเทอร์เน็ต
อาจเพราะข่าวเหล่านั้นสร้างภาพให้เธอเป็น ‘ป๊อปสตาร์ที่คบหาผู้ชายหลายคน’ ‘แต่งเพลงด่าแฟนเก่า’ หรือ ‘กลายเป็นผู้หญิงที่น่าหมั่นไส้ในวงการจากข่าวลือ’
แต่การเคลื่อนไหวของเทย์เลอร์ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องความรักเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเด็นสำคัญที่ทุกคนควรถกเถียงร่วมกันอย่างการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงตัวเอง ไปจนถึงเรื่องที่เราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นเรื่องได้ยังไง เช่น ฝ่ายขวาและผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันสร้างทฤษฎีสมคบคิดว่าการปรากฏตัวของเทย์เลอร์ในการแข่งขัน Super Bowl มีขึ้นเพื่อเรียกคะแนนให้พรรคเดโมแครต ซึ่งเธอเคยประกาศสนับสนุนในปี 2020 แม้ว่าจริงๆ แล้วเธอเพียงแค่ไปเชียร์ทราวิส เคลซี นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลทีม แคนซัสซิตี้ แฟนหนุ่มของเธอ
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน โดนัลด์ ทรัมป์ยังอาศัยอิทธิพลของเทย์เลอร์ในการหาเสียง ด้วยการโพสต์ภาพ AI ของเธอชูป้ายสนับสนุนเขาขึ้นเป็นประธานาธิบดี จนทำให้เจ้าตัวออกมาประกาศหลังชมการดีเบตระหว่างทรัมป์และคามาลา แฮร์ริส แคนดิเดตจากพรรคเดโมแครตว่า เทย์เลอร์จะสนับสนุนแฮร์ริส เนื่องจากมีคุณค่าที่ต้องการผลักดันประเทศร่วมกันและเธอต้องการสยบภาพปลอมสนับสนุนทรัมป์ ทำให้ทรัมป์ออกมาโพสต์ว่า “ผมเกลียดเทย์เลอร์ สวิฟต์”
ทำไมคนถึงสนใจเรื่องเทย์เลอร์ สวิฟต์? อาจเพราะเธอเป็นป๊อปสตาร์? อาจเพราะเธอมีฐานแฟนคลับขนาดใหญ่ที่ทำให้การเคลื่อนไหวของเธอเรียกเอนเกจเมนต์ได้ หรืออาจจะเป็นไปได้ทั้งหมดที่กล่าวมา?
แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เทย์เลอร์สร้างอิทธิพลกับแฟนคลับในจำนวนมหาศาลมาจากเหตุผลง่ายๆ
เพราะเธอรู้วิธีการ ‘เล่าเรื่อง’ ของตัวเอง
“Your English teacher and your gym teacher are getting married” (คุณครูสอนภาษาอังกฤษและคุณครูพละของคุณกำลังจะแต่งงานกันนะ”
เทย์เลอร์เป็นที่รับรู้ในฐานะ ‘นักแต่งเพลง’ ที่มีทักษะการร้อยเรียงเรื่องเล่าที่ชาญฉลาด การเลือกใช้คำได้สละสลวยและแปลกใหม่ สวิฟตี้จึงเรียกเธอว่า ‘ครูสอนภาษาอังกฤษ’ แม้คนส่วนใหญ่จะมีภาพจำว่าเธอมักแต่งเพลงอกหัก เพลงรัก หรือเพลงแฉแฟนเก่า แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ มุมมองในการเล่าเรื่อง การเปรียบเปรยความรู้สึกผ่านสัญญะต่างๆ และการลำดับเหตุการณ์ในเพลงของเทย์เลอร์มีลักษณะโดดเด่นไม่เหมือนใคร เธอสามารถทำให้คนฟังเข้าไปอยู่ในฉากเดียวกันกับความรู้สึกของเธอได้อย่างชัดเจน
'Cause there we are again on that little town street
You almost ran the red 'cause you were lookin' over at me
Wind in my hair, I was there
I remember it all too well
All Too Well จากอัลบั้ม Red
‘But I knew you'd linger like a tattoo kiss
I knew you'd haunt all of my what-ifs
The smell of smoke would hang around this long
'Cause I knew everything when I was young
I knew I'd curse you for the longest time
Chasin' shadows in the grocery line
I knew you'd miss me once the thrill expired
And you'd be standin' in my front porch light’
Cardigan จากอัลบั้ม Folklore
บทเพลงของเทย์เลอร์ยังสอดคล้องกับไปชีวิตส่วนตัวที่เธอเผยให้เห็นในพื้นที่สาธารณะ เช่น การเขียนถึง ‘ผ้าพันคอสีแดง’ ในเพลง All Too Well ตรงกันกับภาพเธอสวมผ้าพันคอเดินกับเจก จิลเลินฮอล หรือการแต่งเพลง ‘Dear John’ หลังจากผ่านความสัมพันธ์กับจอห์น เมเยอร์ และเพลง Style หลังจากเลิกรากับแฮร์รี สไตลส์ การทำความเข้าใจเนื้อเพลงของเทย์เลอร์ก็คือการทำความเข้าใจชีวิตส่วนตัวที่เธอบันทึกแต่ละยุคสมัยเอาไว้ในอัลบั้มต่างๆ ด้วย
ในตอนที่เทย์เลอร์ปล่อยอัลบั้ม The Tortured Poets Department ในปี 2024 นักวิจารณ์เพลงป๊อปจำนวนมากแสดงความ ‘ผิดหวัง’ กับความสามารถในการเขียนเพลงของเทย์เลอร์ พวกเขากล่าวว่า มันเป็นอัลบั้มที่ไม่มีวันสิ้นสุด ด้วยจำนวนเพลงที่เธอเทกระจาดออกมากว่า 30 แทร็ก โดยที่จังหวะดนตรีวนเวียนซ้ำๆ หรือเนื้อเพลงที่ขาดความลึกซึ้งจนคนฟังไม่สามารถยึดโยงความรู้สึกร่วมได้เลย ซึ่งต่างกับผลงานที่ผ่านมา แม้จะมีสัญญะที่มาจากประสบการณ์ส่วนตัวอย่างชัดเจน แต่ผู้ฟังสามารถนำประสบการณ์ตัวเองไปสวมกับเพลงเธอได้ไม่ยาก
ในทางตรงกันข้าม สวิฟตี้กลับรู้สึกว่าอัลบั้ม The Tortured Poets Deparment คือการทำเพลงที่ชาญฉลาดที่สุดจากการที่ศิลปินคนโปรดของพวกเขา จากการซ่อน ‘อีสเตอร์เอ้ก’ เพื่อให้คนฟังได้เชื่อมโยงข้อมูลความสัมพันธ์ที่เธอเผชิญในช่วงปีที่ผ่านมา
ซิเนด โอซัลลิแวน นักเขียนเจ้าของบทความ Why Normal Music Reviews No Longer Make Sense For Taylor Swift กล่าวว่า การที่แฟนคลับสนใจเนื้อเรื่องเป็นสิ่งเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในอัลบั้ม The Tortured Poets Department คือการตามหาอีสเตอร์เอ้ก และการลัดเลาะไปยังเรื่องเล่า ‘จักรวาลสวิฟต์’ (Swiftverse)
“รีวิวจากนักวิจารณ์ที่ค่อนข้างเย็นชานั้น มักมองข้ามความจริงที่ว่า ‘ดนตรี’ ไม่ใช่สิ่งที่เทย์เลอร์ สวิฟต์ขายอีกต่อไป เธอใช้เวลากว่าสองทศวรรษในการสร้างจักรวาลของแฟนๆ (a fan universe) ที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าซับซ้อน ซึ่งเรียงร้อยอย่างมีลำดับ และถูกเล่าผ่านมุมมองหลากหลายตลอด 11 อัลบั้มระดับบล็อกบัสเตอร์ เธอไม่ได้สร้างอัลบั้มแบบแยกเดี่ยว แต่กำลังสร้างแฟรนไชส์มิวสิคัลต่างหาก”
หากคุณเปรียบเทียบกับจักรวาลมาร์เวล หรือโลกของดีซี คุณจะเห็นตัวละครต่างๆ ในจักรวาลสวิฟต์เช่นเดียวกัน ทั้งคนรัก เช่น โจ อัลวิน, ทราวิส เคลซี, แมตตี้ ฮีลีย์ หรือศัตรูอย่างคิม คาร์เดเชียน, คานเย่ เวสต์, สกูเตอร์ บราวน์ ตัวละครเพื่อนอย่างเซเลนา โกเมซ (ซึ่งแฟนคลับเคยสันนิษฐานว่าเพลง dorothea จากอัลบั้ม evermore เป็นของเซเลนา) หรือเบลค ไลฟ์ลี (ชื่อลูกสาวและลูกชายของเบลคมีอยู่ในเพลง betty จากอัลบั้ม folklore)
“ในจักรวาลของสวิฟต์ จุดสำคัญไม่ใช่แค่ ‘เพลง’ แต่คือ วิธีการ ที่เธอใช้ในการส่งสารนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเพลงไม่สำคัญ เพลงยังคงมีบทบาทสำคัญอยู่ แต่บทบาทนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ว่า คุณเป็นสวิฟตี้หรือแค่ผู้ฟังทั่วไป”
โอซัลลิแวนมองว่าท่าเล่าแบบ ‘อีสเตอร์เอ้ก’ ที่เทย์เลอร์มักใช้งานจึงเป็น ‘วิธีการ’ ที่ทำให้แฟนๆ ได้ติดตามเรื่องราว ค้นหาความลับ เชื่อมต่อจิ๊กซอว์เสมือนงานสืบสวนสอบสวนในโลกภาพยนตร์ฮีโร่ และเมื่อเชื่อมเรื่องของจักรวาลสวิฟต์ทั้งหมดแล้ว เราจะเห็นเทย์เลอร์ในฐานะตัวละครศิลปินหญิงคันทรีย์ที่พิสูจน์ความสามารถและฝ่าฟันข้อครหาจากคนในวงการดนตรี แฟนคลับได้เห็นวันที่เธอกล้าหาญเลือกใช้ชีวิตในฐานะคนรัก แม้จะถูกสังคมครหาว่าเปลี่ยนคนรักบ่อย ได้รับรู้วันที่เทย์เลอร์ต้องการทวงคืนความยุติธรรมในฐานะศิลปินที่ต้องถือครองผลงานของตัวเอง ได้เป็นสักขีพยานจากการฟังเพลงที่เทย์เลอร์ยืนยันว่าจะทำงานดนตรีในฐานะป๊อปสตาร์ที่ไม่ต้องหารายได้จากการทำธุรกิจอื่น
‘จักรวาลสวิฟต์’ ยังสอดคล้องกับการแบ่ง ‘ยุคของผลงาน’ ในคอนเสิร์ต The Eras Tour ที่เทย์เลอร์แสดงให้แฟนๆ ได้เห็นพัฒนาการตัวเองตลอดสองทศวรรษในฐานะศิลปินหญิง รูปแบบเหล่านี้เองที่ทำให้แฟนคลับที่เติบโตมาพร้อมกับเทย์เลอร์ ‘อิน’ กับชีวิตของเธออย่างมาก และเป็นเหตุผลที่พวกเขา ‘อุทิศความรัก’ ให้กับเทย์เลอร์อย่างเหนียวแน่น จึงไม่แปลกที่เราจะได้เห็นแฟนคลับหลายคนกล่าวว่า เทย์เลอร์คือเพื่อนในยามอกหัก เทย์เลอร์คือตัวอย่างของการต่อสู้เพื่อตัวเอง เทย์เลอร์เป็นตัวแม่ของการเอาคืนอย่างชาญฉลาด และเธอก็เป็นคนอย่างนั้นจริงๆ
ในวันนี้ ดูเหมือนเรื่องราวจักรวาลสวิฟต์ก็คล้ายจะเดินทางถึงบทสรุปของภาคแรกแล้ว เพราะมีเรื่องราวสวยงามมากมายเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน เธอปิดจบมหากาพย์การทวงคืนความเป็นเจ้าของผลงานด้วยการเปิดเผยว่าได้ซื้อลิขสิทธิ์กลับมาเป็นของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ เปิดตัวอัลบั้มใหม่เพื่อปิดสรุปการทัวร์ครั้งประวัติศาสตร์
แต่สิ่งที่เป็นข่าวใหญ่เกินกว่าจินตนาการสำหรับสวิฟตี้ คือ การประกาศแต่งงานกับแฟนหนุ่มนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลดาวรุ่ง เพราะพวกเขารู้ดีว่าเทย์เลอร์มุ่งมั่นในเส้นทางดนตรี โดยไม่ยอมตกลงปลงใจกับใครอย่างจริงจังมาก่อน และแทนที่เส้นเรื่องในจักรวาลจะลงเอยด้วยอัลบั้มอกหักเรียนรู้ความรักแบบใหม่ที่อาจกลายเป็นใบหน้าของทราวิส แต่มันกลับกลายเป็นเส้นเรื่องใหม่ที่พวกเขาต้องรอติดตามต่อไป
ไม่ว่าภาคต่อไปของจักรวาลสวิฟต์จะเป็นอย่างไรก็ตาม สำหรับตอนนี้ คงต้องกล่าวว่าขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่ยุค ‘และแล้วทั้งคู่ก็มีความสุขชั่วนิรันดร์’ (Happily Ever After) ในจักรวาลชีวิตและความรักของเทย์เลอร์ สวิฟต์
อ้างอิง: newyorker.com
บทความต้นฉบับได้ที่ : ขอต้อนรับเข้าสู่ยุค ‘Happily Ever After’ ว่าด้วยจักรวาลชีวิตและความรักของเทย์เลอร์ สวิฟต์
บทความที่เกี่ยวข้อง
- เมื่อสนธิสัญญาพลาสติกยังไม่ถึงฝั่งฝัน อนาคตมลพิษพลาสติกจะเป็นอย่างไร?
- อิสรภาพจากมาตรา 112: 8 ปี 4 เดือน 19 วัน ของ ‘อัญชัญ ปรีเลิศ’
- ผู้ประกอบการประมงไทยเดือดร้อนแค่ไหน เมื่อแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับบ้าน
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath