เลือกตั้งพม่า 2025 คือทางออกจากวิกฤติ หรือเดินหน้าสู่สงครามยืดเยื้อ?
รัฐบาลทหารพม่าภายใต้การนำของ มิน อ่อง หล่าย กำหนดให้วันที่ 28 ธันวาคม 2025 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ ทว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงท่ามกลางเสียงปืนและควันสงคราม กลับก่อคำถามสำคัญต่อทั้งประชาชนในประเทศและประชาคมระหว่างประเทศว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการคลี่คลายวิกฤติทางการเมืองและสงครามกลางเมืองที่ลากยาวมากว่า 4 ปี หรือจะเป็นเพียงฉากการเมืองอีกฉากหนึ่งที่ตอกย้ำวงจรแห่งความขัดแย้งและการจัดฉากความชอบธรรมของกองทัพพม่า (ตัดมาดอว์) เท่านั้นเอง
หลังจาก มิน อ่อง หล่าย ประกาศยุติสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมาเพื่อแสดงความพร้อมในการเตรียมการสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึง มีการประกาศยุบสภาบริหารแห่งรัฐ (State Administration Council: SAC) และตั้งองค์กรปกครองแบบเดิมในชื่อใหม่ว่า คณะกรรมาธิการสันติภาพและความมั่นคงแห่งรัฐ (State Security and Peace Commission: SSPC) ซึ่งมี มิน อ่อง หล่าย ทำหน้าที่ประธานเหมือนเดิม และเขายังทำหน้าที่ประมุขของรัฐในตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดีอีกด้วย แต่ที่เพิ่มมาคือรัฐบาลรักษาการชั่วคราว โดยให้ เนียว ซอ (Nyo Saw) มือเศรษฐกิจที่ปรึกษาของเขาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน เพื่อให้หน้าตารัฐบาลดูมีความเป็นพลเรือนมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ ในเดือนกรกฎาคม สภาทหารพม่าได้ประกาศกฎหมายเลือกตั้งฉบับใหม่ซึ่งมีบทลงโทษผู้ขัดขวางการเลือกตั้งอย่างหนัก ตั้งแต่จำคุกเป็นเวลาหลายปีไปจนถึงประหารชีวิตเลยทีเดียว ภายใต้กฎหมายเลือกตั้งฉบับนี้ ผู้ใดก็ตามที่กล่าวปราศรัย พูดจาชักชวน ปลุกระดม ประท้วง หรือแจกจ่ายเอกสารใดๆ เพื่อรบกวนกระบวนการส่วนใดส่วนหนึ่งของการเลือกตั้ง จะต้องถูกลงโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี และถูกปรับเป็นเงิน
กฎหมายยังระบุว่า ผู้ใดข่มขู่ ขัดขวาง ละเมิด หรือทำร้ายร่างกายอย่างร้ายแรงต่อเจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อาจถูกตัดสินโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี จนถึงจำคุกตลอดชีวิต อีกทั้งผู้ใดทำลายหรือสร้างความเสียหายต่ออุปกรณ์หรือวัสดุที่ใช้ในการเลือกตั้ง รวมถึงบัตรเลือกตั้ง หรืออาคารและสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวข้อง อาจถูกลงโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี จนถึงจำคุกตลอดชีวิต และหากการกระทำนั้นส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนจะถูกตัดสินโทษประหารชีวิต
กฎหมายยังระบุด้วยว่า จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการด้านความมั่นคงขึ้นเพื่อเฝ้าติดตามกิจกรรมขององค์กรภายในและต่างประเทศที่อาจคุกคามความมั่นคงในช่วงการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะมีปัญหามากในเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน เริ่มตั้งแต่การทำสำมโนประชากรในปี 2024 เพื่อใช้จัดทำทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ทำได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของทั้งหมด 330 เมืองทั่วประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบ
เมื่อ 2 ปีก่อน รัฐบาลประกาศกฎหมายให้พรรคการเมืองต้องลงทะเบียนใหม่ และกำหนดคุณสมบัติที่เข้มงวด เช่น ต้องมีสมาชิกหลักหมื่นหลักแสนคน ต้องมีสำนักงานเป็นจำนวนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเขตเลือกตั้ง ทำให้พรรคที่ผ่านเกณฑ์ได้รับอนุมัติให้สมัครรับเลือกตั้งได้มีจำนวนน้อย นอกจากนี้ พรรคการเมืองสำคัญจำนวนมากก็ถูกห้ามลงเลือกตั้ง เช่น พรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy: NLD) มีผู้นำจำนวนหนึ่ง รวมทั้ง ออง ซาน ซูจี ยังถูกจับกุมคุมขังอยู่ ยังไม่นับว่ากลุ่มต่อต้านบางส่วนประกาศว่าจะก่อกวนหรือคว่ำบาตรการเลือกตั้ง
หากมองสถานการณ์จากแง่มุมของภูมิรัฐศาสตร์ภายในประเทศ จะพบว่า รัฐบาลทหารพม่าสูญเสียการควบคุมพื้นที่ไปเป็นจำนวนมากในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา นับแต่เกิดการรัฐประหารเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2021 การสำรวจเชิงลึกของฝ่ายต่างๆ รวมทั้งสำนักข่าว BBC เมื่อปีที่แล้ว พบว่า ทหารพม่าสามารถควบคุมพื้นที่ได้เพียง 21 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดทั่วประเทศ ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านกลุ่มต่างๆ สามารถปลดปล่อยพื้นที่ได้ 42 เปอร์เซ็นต์ โดยพื้นที่อีกกว่า 30 เปอร์เซ็นต์นั้นอยู่ระหว่างการแย่งชิงหรือไม่ก็เป็นพื้นที่ซึ่งไม่มีประชากรอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายใด หรืออาจจะเป็นพื้นที่ซึ่งไม่มีผู้อยู่อาศัยเป็นการถาวร
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการสู้รบยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ตัวเลขที่นำเสนอดังกล่าวข้างต้นอาจจะมีความเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ในระยะที่ผ่านมาก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศดังต่อไปนี้
กองทัพอาระกัน (Arakan Army: AA) สามารถควบคุม 14 จากทั้งหมด 17 เมือง (townships) ของพื้นที่ในรัฐยะไข่ทางตะวันตกของประเทศ
กลุ่มพันธมิตรภราดรภาพชิน (Chin Brotherhood Alliance: CBA) และพันธมิตรต่อต้านอื่นๆ ควบคุมได้ถึง 85 เปอร์เซ็นต์ของรัฐชินทางภาคตะวันตกของประเทศ รวมถึงเมืองฟาลัม (Falam) ที่ยึดคืนได้สำเร็จในช่วงต้นปี 2025
กองทัพเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independence Army: KIA) ได้ยึดพื้นที่สำคัญหลายแห่งในรัฐคะฉิ่นทางภาคเหนือของประเทศ เช่น ตามถนนสายมิจินา-บาโม ฐานที่มั่นบางแห่ง และเมืองสนามบินเมืองบาโมและยังอยู่ในกระบวนการยึดพื้นที่ต่อเนื่องในภาคเหนือ
ช่วงต้นปี 2025 กองกำลังพิทักษ์ชนชาติคะเรนนี (Karenni Nationalities Defense Forces: KNDF) สามารถควบคุมพื้นที่ ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ในรัฐคะเรนนี (รัฐคะยา ใกล้ชายแดนด้านจังหวัดแม่ฮ่องสอน) แต่การโจมตีรุกคืบของกองทัพพม่าในช่วงกลางปีนี้ทำให้พื้นที่ยึดครองของฝ่ายคะเรนนีลดลงราว 10 เปอร์เซ็นต์ ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา มีรายงานตามสื่อมวลชนพม่าว่า กองทัพพม่ารุกคืนในบางพื้นที่สำคัญเช่นเมืองเดโมโซ (Demoso) เอาไว้ได้
นอกจากนี้ สถานการณ์การสู้รบในพื้นที่ของรัฐกระเหรี่ยงติดชายแดนไทยด้านจังหวัดตากก็อยู่ในสถานะทั้งรุกและรับกันอยู่มาชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว ยังไม่สามารถเผด็จศึกกันได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก่อให้เกิดความไร้เสถียรภาพไปทั่วบริเวณ ยังไม่นับการขยายพื้นที่ของกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army: UWSA) ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการปะทะกับกลุ่มไทใหญ่บางกลุ่มและขัดแย้งกับไทยได้ตลอดเวลา
ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ ความรู้สึกของประชาชนต่อการเลือกตั้งที่จะมาถึง การสำรวจและศึกษาวิจัยทางวิชาการพบว่าประชาชนชาวพม่าส่วนใหญ่ไม่มีความมั่นใจในการเลือกตั้งที่จะมาถึงในครั้งนี้เลย เพราะเขามองว่ามันเป็นการจัดฉากเพื่อรักษาอำนาจของทหารให้อยู่ควบคุมประเทศต่อไปเท่านั้น
จ่อ ยิน หล่าย (Kyaw Yin Hlaing) นักวิจัยรับเชิญชาวพม่าของสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา Yosuf Ishak ในประเทศสิงคโปร์ ที่ทำการศึกษาและสำรวจความเห็นประชาชนในประเทศพม่าสองครั้ง (ปลายปี 2021–ต้นปี 2022 และกลางปี 2024) พบแนวโน้มสอดคล้องกันว่า ประชาชนพม่าไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งที่จัดโดยรัฐบาลทหารจะเป็นทางออกจากวิกฤติ หลายคนมองเป็นการสร้างภาพความชอบธรรม มากกว่ากระบวนการคืนอำนาจประชาชนจริงๆ
ผู้วิจัยรายงานว่า ในเดือนมิถุนายน 2024 เมื่อเริ่มมีการเตรียมการสำรวจครั้งที่สอง ชาวบ้านในรัฐชิน คะเรนนี ยะไข่ และเขตสะกาย ให้ข้อมูลกับทีมวิจัยว่า การสัมภาษณ์ไม่จำเป็น เนื่องจากการต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าในพื้นที่เหล่านี้รุนแรงจนทำให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ ขณะเดียวกัน ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 48 คนจาก 500 คนในรัฐและภูมิภาคอื่นๆ ที่ถูกสำรวจในปี 2024 ก็มีความเห็นเช่นเดียวกัน
ผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถามในการสำรวจจำนวน 43 คน ซึ่งใกล้ชิดกับกองทัพหรือพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Party: USDP) ซึ่งเป็นพรรคทหาร กล่าวว่า จะสนับสนุนการเลือกตั้ง ขณะที่อีก 38 คนเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นวิธีที่ง่ายและใช้ความรุนแรงน้อยที่สุดในการยุติวิกฤติ ผู้ตอบเหล่านี้อธิบายว่า พวกเขากังวลว่าประเทศอาจล่มสลายหรือแตกแยก ก่อนที่ขบวนการต่อต้านจะสามารถบรรลุชัยชนะทางทหารได้ บางคนยังกล่าวว่า แม้ มิน อ่อง หล่าย จะได้เป็นประธานาธิบดีหลังการเลือกตั้ง แต่การมีอยู่ของรัฐสภาจะช่วยจำกัดอำนาจของเขาได้
ในทางตรงกันข้าม ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมาก 381 คนเชื่อว่าการเลือกตั้งจะยิ่งทำให้วิกฤติรุนแรงขึ้น เนื่องจาก มิน อ่อง หล่าย จะพยายามขึ้นเป็นประธานาธิบดี และกลุ่มต่อต้านจะไม่ยอมรับบทบาททางการเมืองใดๆ ของกองทัพ ผู้ตอบเหล่านี้ยังแสดงความสงสัยในความสามารถของกองทัพที่จะจัดการเลือกตั้งอย่างมีประสิทธิภาพ (รวมถึงผู้สนับสนุนการเลือกตั้งอีก 17 คนที่มีข้อสงสัยเช่นกัน)
อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบ 67 คนกล่าวว่าพวกเขาจะไปลงคะแนนหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น และอีก 31 คนบอกว่าจะไปลงคะแนนถ้ามีความปลอดภัยเพียงพอ
เกี่ยวกับความปลอดภัยในการเลือกตั้ง ผู้ตอบ 317 คนคาดการณ์ว่า ผู้สมัคร โดยเฉพาะผู้สมัครจากพรรค USDP จะตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกลอบสังหาร ขณะที่นักเคลื่อนไหวรายหนึ่งซึ่งมีข้อมูลเชิงลึกยืนยันว่ากลุ่มติดอาวุธของฝ่ายต่อต้าน โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้ปฏิบัติการภายใต้รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government: NUG) อาจพยายามก่อกวนการเลือกตั้งด้วยการลอบสังหารผู้สมัคร
กล่าวโดยรวม การเลือกตั้งที่รัฐบาลทหารพม่าผลักดันปลายปี 2025 มิได้เกิดขึ้นท่ามกลางความสงบ หากแต่ดำเนินไปท่ามกลางสมรภูมิที่รัฐไม่อาจควบคุมได้ทั่วประเทศ กฎหมายเลือกตั้งที่ใช้บทลงโทษรุนแรง และความไม่ไว้วางใจของประชาชน ล้วนสะท้อนว่ากระบวนการนี้เป็นเพียงเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กองทัพสืบทอดอำนาจมากกว่าหนทางคลี่คลายสงครามกลางเมือง
ฉากทัศน์ที่เป็นไปได้คือ หากเลือกตั้งเกิดขึ้นจริง ผลลัพธ์จะยิ่งตอกย้ำความแตกแยกให้ลึกลงไปและทำให้ความขัดแย้งนี้ยืดเยื้อออกไปอีก เพราะฝ่ายต่อต้านปฏิเสธที่จะยอมรับบทบาททางการเมืองของกองทัพ ขณะที่หากการเลือกตั้งไม่เกิดขึ้นและสงครามกลางเมืองยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ประเทศพม่าก็เสี่ยงจะถลำลึกสู่ภาวะรัฐล้มเหลวที่ไร้กลไกการเมืองใดๆ รองรับ
ทางออกที่แท้จริงของพม่า จึงไม่ใช่เพียงการหย่อนบัตรเลือกตั้ง แต่คือการสร้างข้อตกลงทางการเมืองใหม่ ที่ทุกฝ่ายทั้งตัดมาดอว์ ฝ่ายต่อต้าน กองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ และภาคประชาชนสามารถยอมรับได้ร่วมกัน คำถามสำคัญที่ยังไร้คำตอบก็คือ ใครจะเป็นผู้มีอำนาจและความชอบธรรมพอที่จะทำให้ข้อตกลงเช่นนั้นเกิดขึ้นจริง?
บทความต้นฉบับได้ที่ : เลือกตั้งพม่า 2025 คือทางออกจากวิกฤติ หรือเดินหน้าสู่สงครามยืดเยื้อ?
บทความที่เกี่ยวข้อง
- มาตรา 112 กับอีก 32 คน ที่ยังถูกคุมขัง
- ชีวิตของสุนัขในเมือง: แม้แต่น้องหมาก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด
- Pleats Please โดย Issey Miyake เสื้อผ้าจับจีบแรงบันดาลใจจากความหรูหรา แต่ออกแบบมาด้วยแนวคิด ‘เน้นการใช้งาน’ อยู่เบื้องหลัง
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath