Red Light Therapy - แสงสีแดงบำบัด ดีจริงไหม? มีอะไรต้องรู้บ้าง
ในโลกของเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพและความงามที่ก้าวหน้าไม่หยุดยั้ง Red Light Therapy (RLT)
หรือที่รู้จักกันในชื่อPhotobiomodulation (PBM) หรือ Low-Level Light Therapy (LLLT) กำลังกลายเป็นกระแสมาแรงในโลกความงาม
กรุงเทพธุรกิจ จะพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกับRed Light Therapy ให้มากขึ้น ตั้งแต่หลักการทำงาน ประโยชน์ที่ผ่านการวิจัย ไปจนถึงข้อควรระวังและคำแนะนำในการใช้อย่างปลอดภัย เพื่อไขคำตอบว่า แสงสีแดงนี้ สามารถยกระดับทั้งสุขภาพและความงามของเราได้จริงหรือไม่
Red Light Therapy คืออะไร?
Red Light Therapy เป็นเทคนิคการบำบัดที่ใช้แสงสีแดงความยาวคลื่นต่ำที่ปล่อยออกมาจากหลอด LED หรือ เลเซอร์พลังงานต่ำ ส่องลงบนผิวหนัง พลังงานจากแสงสีแดงนี้จะสร้างปฏิกิริยาทางชีวภาพในระดับเซลล์ อุปกรณ์สำหรับ RLT มีหลากหลายรูปแบบ เช่น เตียงบำบัดที่คล้ายเตียงอาบแดดสำหรับทั่วร่างกาย, หมวกและหมวกกันน็อคสำหรับศีรษะ, หน้ากากสำหรับใบหน้า, แผงไฟที่ติดตั้งบนผนังหรือวางบนโต๊ะ, และอุปกรณ์แบบพกพา (wands)
Red Light Therapy ทำงานอย่างไร?
แสงสีแดงทำงานโดยการ กระตุ้นไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) ซึ่งเปรียบเสมือน "โรงไฟฟ้า" ของเซลล์ ที่ทำหน้าที่ผลิตพลังงาน เมื่อไมโทคอนเดรียได้รับพลังงานมากขึ้น เซลล์ต่างๆ ก็จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสุขภาพผิว RLT อาจช่วย:
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: ผิวดูอิ่มฟูและยืดหยุ่น
- เพิ่มการผลิตไฟโบรบลาสต์: สร้างคอลลาเจนและอิลาสติน
- เพิ่มการไหลเวียนโลหิต: ผิวได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น
- ลดการอักเสบในเซลล์: ป้องกันการเสื่อมของเซลล์และริ้วรอย
ดร. ซาเกีย ราห์มาน (Zakia Rahman) แพทย์ผิวหนังจาก Stanford Medicine อธิบายว่า
“การขยายตัวของหลอดเลือด (vasodilation) ที่เกิดจากแสงสีแดง คือกุญแจสำคัญที่ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์และลดริ้วรอยได้”
ประโยชน์ของ Red Light Therapy ที่ได้รับการวิจัย
แม้ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม แต่จากผลการทดลองในปัจจุบัน ถือว่า น่าสนใจ จนไม่น่าแปลก ถ้า Red Light Therapy จะถูกจับตามอง โดยประโยชน์ของ Red Light Therapy ที่มีงานวิจัยหรือหน่วยงานทางการรับรองแล้ว มีดังนี้
1. ลดเลือนริ้วรอยและสัญญาณแห่งวัย
องค์การอาหารและยา (FDA) สหรัฐฯ อนุมัติอุปกรณ์ RLT หลายชนิดสำหรับใช้ที่บ้าน เช่น หน้ากาก LED และแผงไฟ การศึกษาพบว่า ใช้ติดต่อกัน 3 เดือน ผิวเรียบขึ้น สีผิวสม่ำเสมอขึ้น แต่ผลลัพธ์ยังคงอยู่ได้เพียงประมาณ 1 เดือนหลังหยุดใช้
2. กระตุ้นการงอกของเส้นผม
FDA ยังอนุมัติอุปกรณ์อย่าง หมวกกันน็อค หรือหวีไฟแสงแดงสำหรับรักษาผมร่วง โดยการศึกษาพบว่า RLT สามารถช่วยกระตุ้นรูขุมขน เพิ่มความหนาและความยาวของเส้นผมได้
3. ลดสิวอักเสบ
RLT ช่วยลดการอักเสบและควบคุมความมัน การศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัด 6 ครั้งภายใน 12 สัปดาห์ มีสิวลดลงชัดเจนโดยไม่มีผลข้างเคียง และหากใช้ร่วมกับแสงสีฟ้า (Blue Light Therapy) จะได้ผลดียิ่งขึ้นในการจัดการเชื้อP. Acne
4. ปรับการทำงานของสมอง
งานวิจัยใหม่ๆ ชี้ว่า RLT ไม่ได้ช่วยแค่ผิว แต่ยัง ทะลุผ่านกะโหลก ไปกระตุ้นสมองได้ด้วย การศึกษาในปี 2021 พบว่าผู้ป่วยสมองเสื่อมระดับเล็กน้อย – ปานกลางที่ใช้หมวก RLT วันละ 6 นาทีต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ มีการทำงานของสมองดีขึ้นโดยไม่พบผลข้างเคียง
5. บรรเทาอาการปวดเรื้อรัง
งานวิจัยจำนวนมากพบว่า photobiomodulation อาจช่วยลดอาการปวดจาก โรคไฟโบรมัยอัลเจีย, ข้อเข่าเสื่อม และ อาการปวดหลัง ได้ แต่ผลลัพธ์อาจไม่ถาวร ต้องทำต่อเนื่อง
6. ช่วยสมานแผลและลดรอยแผลเป็น
บางการศึกษาชี้ว่า RLT เร่งการสมานแผลและช่วยให้เนื้อเยื่อฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่ผลยังไม่ชัดเจนพอ ดร.นูร์ คิบบี้ (Dr. Nour Kibbi) แพทย์ผิวหนังจาก Stanford Medicine กล่าวว่า: “ข้อมูลยังมีทั้งที่สนับสนุนและโต้แย้ง แต่ก็น่าสนใจมาก และควรค่าแก่การศึกษาเพิ่ม”
ทั้งนี้ ในทางการแพทย์ องค์กร WALT (World Association for Photobiomodulation Therapy) ได้มีข้อมูลเกี่ยวกับว่า Photobiomodulation รวมถึง Red Light Therapy ว่า เป็นการรักษาที่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์รองรับ โดยเฉพาะในบางภาวะ เช่น แผลในช่องปาก, อาการปวดกล้ามเนื้อ-ข้อต่อ และแผลเรื้อรัง
Light Therapy สีอื่นๆ ก็มีประโยชน์
- แสงสีฟ้า (Blue Light): ฆ่าเชื้อสิว ลดการอักเสบ
- แสงสีเขียว (Green Light): ลดรอยดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
- แสงสีเหลือง (Yellow Light): ลดฝ้า, กระ และช่วยการไหลเวียน
ความแตกต่างระหว่างเครื่องที่ใช้ในคลินิกและเครื่อง Home Use
รศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล อธิบายในรายการ สถานีศิริราช ว่า:
- เครื่องมือในคลินิก/โรงพยาบาล: มีพลังงานและความเข้มแสงสูงกว่า จึงให้ผลการรักษาที่ดีกว่า
- หน้ากาก LED แบบใช้เองที่บ้าน: ถูกจำกัดระดับพลังงานเพื่อความปลอดภัย ทำให้ประสิทธิภาพลดลง ต้องใช้อย่างต่อเนื่องและยาวนานกว่าจะเห็นผล
เธอเน้นย้ำว่า “ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจากอย. และมีมาตรฐาน มอก. เพื่อความปลอดภัย”
จุดกำเนิดของการบำบัดด้วยแสงสีแดงเกิดจากการสังเกตโดยบังเอิญ ระหว่างการใช้เลเซอร์กำจัดขน แพทย์พบว่า:
“เวลาใช้เลเซอร์กำจัดขน บริเวณที่โดนพลังงานเลเซอร์น้อยๆ รอบขอบเขตการยิง กลับกระตุ้นให้เส้นขนขึ้นมากกว่าเดิม ทำให้มีการศึกษาต่อเนื่องจนค้นพบว่า แสงพลังงานต่ำสามารถกระตุ้นการงอกของเส้นผมได้”
การค้นพบนี้ นำไปสู่การพัฒนา Low-Level Laser Therapy (LLLT) และต่อยอดเป็น Red Light Therapy ที่ใช้กันในปัจจุบัน
ข้อควรระวังและคำแนะนำในการใช้ Red Light Therapy
Red Light Therapy โดยทั่วไปถือว่า ปลอดภัย ไม่เจ็บปวด ไม่รุกราน และไม่เป็นพิษ และแตกต่างจากแสงอัลตราไวโอเลต (UV) ที่เป็นสาเหตุของมะเร็ง RLT ไม่ได้ใช้แสงประเภทนี้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีข้อควรระวังที่สำคัญ ดังนี้:
- ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มใช้
- การรักษาต้องใช้ต่อเนื่อง ไม่ใช่ครั้งเดียวแล้วเห็นผล
- เลือกอุปกรณ์ที่ผ่านการรับรอง อาทิ FDA - cleared
- ป้องกันดวงตาเมื่อใช้ใกล้ใบหน้า
- หากใช้ผิดวิธี เช่น นานเกินไป อาจทำให้ผิวไหม้ หรือพุพองได้
- อาจมีค่าใช้จ่ายสูง
Red Light Therapy เป็นการบำบัดด้วยแสงที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากและแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่เห็นได้ในหลายๆ ด้าน แต่ยังต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยระยะยาว ก่อนใช้งานควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพผิวและสุขภาพส่วนบุคคล ดังที่ ดร. ซาเกีย กล่าวไว้ว่า
"มีหลักฐานจริงที่แสดงให้เห็นว่าแสงสีแดงสามารถเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพได้จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นยาสารพัดนึกสำหรับทุกสภาวะสุขภาพ”
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน อุปกรณ์ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจซื้อหรือใช้อุปกรณ์ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น FDA (องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ) ซึ่งได้ “cleared” อุปกรณ์บางประเภทสำหรับการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น ลดริ้วรอย กระตุ้นการงอกของเส้นผม หรือบรรเทาอาการปวดบางชนิด เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจว่าใช้ในขอบเขตที่เหมาะสม
อ้างอิง my.clevelandclinic , achieve.amway , healthline ,