เช็กชื่อผู้สมัคร 19 ราย ชิงเก้าอี้ กกต. 2 ตำแหน่ง จับตาคดีใหญ่ล้างบางวุฒิสภา

ลุ้นวุฒิสมาชิก 2 ขั้ว สายสีน้ำเงิน-สีแดง โหวต 4 รายชื่อ เป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คนใหม่ หลัง อิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. และสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ กรรมการ กกต. หมดวาระเดือนสิงหาคม 2568 และหมดวาระเดือนธันวาคมอีก 2 ราย ท่ามกลางคดีใหญ่ระดับล้างบางวุฒิสภา

ท่ามกลางการบดขยี้กันไปมา ระหว่างขั้วการเมืองเพื่อไทย (พท.) กับขั้วการเมืองภูมิใจไทย (ภท.) ที่กระจายกันสังกัดในโครงสร้างอำนาจหลัก ทั้งในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และในวุฒิสภา (สว.)

แน่นอนที่สุดว่า เส้นทางการเข้าสู่อำนาจในองค์กรอิสระ ต้องผ่านด่านสภาบนหรือ สว. ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เป็นสาย สว. สีน้ำเงิน อันเป็นเครือข่ายการเมืองของพรรคภูมิใจไทย แม้ว่าจะมี สว. ระดับเดินเกมให้ฝ่ายเพื่อไทยอยู่บ้าง แต่เสียงไม่มากพอ

ในภาวะนิติสงคราม ฝ่าย สว. สีน้ำเงิน ก็ถูกฝ่ายบริหารขั้วเพื่อไทยบุกรุกและผลักดันให้พ้นจากอำนาจ ผ่านการเดินเกมและเดิมพันของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม คาบเกี่ยวอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง แต่วาระนี้ต้องตกไปเพราะรายชื่อไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับกลุ่มสายสีน้ำเงิน

จังหวะเข้าด้ายเข้าเข็ม มีคณะกรรมการการเลือกตั้ง 2 ราย ครบวาระการดำรงตำแหน่ง ต้องสรรหาใหม่ 2 ราย คือ หลังนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. และนายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ กรรมการ กกต. ในเดือนสิงหาคมนี้ ดังนั้น จึงต้องมีการสรรหาใหม่ และเสนอให้วุฒิสภา “รับรอง”

การสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทดแทน 2 ตำแหน่ง จึงเริ่มต้นขึ้นโดยสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็น กกต. แทนตำแหน่งที่ว่าง 2 ราย ตั้งแต่วันที่ 9-23 มิถุนายน 2568

ไม่เพียง 2 ตำแหน่งในองค์กรอิสระแห่งนี้ ที่ต้องใช้เสียงส่วนใหญ่ของ สว. ให้การรับรอง แต่ในปลายปีนี้ จะมี กกต. ที่หมดวาระอีก 2 รายในวันที่ 4 ธันวาคม 2568 คือ นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ และนายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ ซึ่งกระบวนการสรรหา 2 ตำแหน่งนี้ จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2569

จับตาคดีล้างบางฮั้วเลือก สว. ทอดยาว

มีคดีใหญ่-คา กกต. รอการชี้ขาด คือ คดีฮั้วเลือก สว. โดยกลุ่ม สว. สีน้ำเงินเป็นผู้ถูกกล่าวหาพ่วงกับแกนนำพรรคภูมิใจไทย ซึ่งหากมีการชี้ขาดและผลไปในทางลบ จะทำให้เกิดการล้างบาง สว. สายสีน้ำเงิน และถึงขั้นยุบพรรค

แต่กว่าจะถึงเส้นทางล้างบาง นับว่าไม่ง่าย ยังต้องผ่านกระบวนการอีกไม่น้อย แม้ว่าขณะนี้จะมีข้อสรุปจากคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนเสร็จสิ้นแล้ว และส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วินิจฉัยเพื่อ “สั่งฟ้อง” และส่งเรื่องต่อให้ศาลฎีกา

ทว่า การเติม 2 รายชื่อกรรมการ กกต. และเติมรายชื่อในองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ก็มีส่วนในการถ่วงดุลอำนาจ ปกป้องไม่ให้เครื่อข่ายการเมืองสีน้ำเงินต้องเพลี่ยงพล้ำ

ล่าสุด (14 ส.ค. 2568) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ระบุขั้นตอนคดีล้างบาง สว. สายสีน้ำเงินว่า คณะกรรมการสืบสวนไต่สวนชุดที่ 26 สรุปสำนวนส่งไปยังรองเลขาธิการ กกต. มีจำนวนผู้ที่ถูกกล่าวหาและผู้ถูกร้อง 100 กว่าคน และมีบางคนที่ถูกสั่งให้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม และสั่งไต่สวนเพิ่มเติม

กระบวนการที่จะเปลี่ยนอำนาจสภาสูงยังคงอีกยาวนาน เพราะกรณีที่มีผู้ถูกกล่าวหาเพิ่มต้องแจ้งข้อกล่าวหา และต้องไต่สวนเพิ่มเติมในบางประเด็น

ทั้งนี้ คดีฮั้วเลือก สว. มีผู้ที่ถูกกล่าวหาจำนวนมาก หาก กกต. ตรวจสำนวนแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ ก็สามารถแจ้งให้คณะกรรมการชุดที่ 26 ไปสอบเพิ่มได้อีก ภายใต้เหตุผลที่ว่า “ต้องอำนวยความยุติธรรมให้กับทุกฝ่าย “

เปิดคุณสมบัติ กกต. ต้องผ่านด่านหิน 2 รอบ

รายชื่อบุคคลที่มีความประสงค์จะเข้าสู่ตำแหน่งในองค์กรอิสระ ที่มีอำนาจชี้ขาดคดี สส.-สว. และกำหนดกติกาเลือกตั้งทุกระดับของประเทศ ชี้ขาดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง สั่งยกเลิกการเลือกตั้ง สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือสั่งระงับสิทธิเลือกตั้งและดำเนินคดีอาญากับผู้สมัครที่ทำผิดกฎหมาย และประหารชีวิตทางการเมือง ด้วยการยุบพรรค

ในระหว่างสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา การเปิดรับสมัคร 11 วัน ได้ผู้สมัครทั้งสิ้น 19 คน จากหลายหลากคุณสมบัติ ส่วนใหญ่เป็นอดีตข้าราชการ อดีตปลัดกระทรวง อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด และอดีตข้าราชการตำรวจ นักกฎหมาย ทนายความ

ทั้งนี้ กกต. ทั้ง 7 คนต้องมาจาก 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาการต่างๆ จำนวน 5 คน กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มของผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีผู้พิพากษาหรืออธิบดีอัยการไม่น้อยกว่า 5 อีกจำนวน 2 คน

สำหรับผู้ที่จะสมัครเข้าดำรงตำแหน่ง กกต. ต้องผ่านคุณสมบัติ 2 ด่าน ดังนี้

คุณสมบัติสำหรับสมัคร กกต. ด่านแรก

1. มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
2. มีอายุไม่ต่ำกว่า 45 ปีแต่ไม่เกิน 70 ปี
3. สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
4. มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
5. มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คุณสมบัติผู้ที่จะสมัครเป็น กกต. ด่านที่ 2

กกต. 5 คน มาจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาการต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์แก่การบริหารและการจัดการการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้

1. รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี

2. เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี

3. ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี และยังมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์

4. เป็นหรือเคยเป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่มีกฎหมายรับรองการประกอบวิชาชีพ โดยประกอบวิชาชีพอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปีนับถึงวันที่ได้รับการเสนอชื่อและได้รับการรับรองการประกอบวิชาชีพจากองค์กรวิชาชีพนั้น

5. เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ทางด้านการบริหาร การเงิน การคลัง การบัญชี หรือการบริหารกิจการวิสาหกิจในระดับไม่ต่ำกว่าผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมหาชนจำกัดมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี

6. เคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งตาม (ก) (ข) (ค) หรือ (จ) รวมกันไม่น้อยกว่า 10 ปี

7. เป็นผู้ทำงานหรือเคยทำงานในภาคประชาสังคมมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปีตามที่คณะกรรมการสรรหากำหนด

เช็กรายชื่อผู้สมัคร ชิง 2 เก้าอี้ กกต.

• นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อายุ 65 ปี อดีตปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
• นายมณฑล สุดประเสริฐ อายุ 64 ปี อดีตอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง
• นายณรงค์ รักร้อย อายุ 62 ปี อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร
• นายรณภพ เหลืองไพโรจน์ อายุ 62 ปี อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี
• ศาสตราจารย์ พลตำรวจตรี พงศ์กุลธร โรจน์วิรุฬห์ อายุ 55 ปี ศาสตราจารย์ประจำคณะตำรวจศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
• รองศาสตราจารย์ นายแพทย์พิทยา จารุพูนผล อายุ 65 ปี อดีตคณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิด
• นายชัยศักดิ์ อ่อนประดิษฐ์ อายุ 65 ปี ทนายความ
• นายวุฒิพงศ์ เนติธีรัตน์ อายุ 48 ปี ประธานสภาทนายความจังหวัดเลย
• นายประสิทธิ์ ประวรรณะ อายุ 56 ปี ทนายความ
• นายประหยัด เสนวิรัช อายุ 67 ปี ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายประหยัดทนายความ อดีตที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ประจำคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา
• นายนิทรารัตน์ แพทย์วงศ์ อายุ 65 ปี ประธานสภาทนายความจังหวัดสมุทรสงคราม อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดสมุทรสงคราม
• นายสาธิต อุไรเวโรจนากร อายุ 63 ปี ผู้สอบบัญชีอิสระ กรรมการอิสระ บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) อดีตกรรมการกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง
• นายวิฑูลรย์ ศิริวิโรจน์ อายุ 59 ปี ทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย กรรมการมูลนิธิต่อต้านการทุจริต อนุกรรมการดำเนินการและพัฒนากฎหมายของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
• นายธนากร แหวกวารี อายุ 56 ปี ทนายความ
• รองศาสตราจารย์ (คลินิก) พลเอก นายแพทย์ สายัณห์ สวัสดิ์ศรี อายุ 67 ปี กรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน กสทช. อดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า
• ผู้ช่วยศาสตราจารย์ณัทตรัยพัทธ์ ภัทร์พรชนัต อายุ 62 ปี อดีตผู้บริหารระดับสูงบริษัทมหาชน
  
• รองศาสตราจารย์ชณทัต บุญรัตนกิตติภูมิ อายุ 63 ปี อดีตผู้ช่วยอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
• นายพิริยะ ธานีรณานนท์ อายุ 58 ปี ผู้ทำงานในภาคประชาสังคม
• นายพงษ์ศักดิ์ จันทร์อ่อน อายุ 53 ปี ผู้อำนวยการมูลนิธิวีวอทช์ อดีตผู้ประสานงานประจำประเทศไทย มูลนิธิอันเฟรล

กว่าจะได้เป็นอรหันต์ กกต.

การสรรหา กกต. ใหม่ หลังได้รายชื่อจากการเปิดรับสมัครทั้ง 19 ราย จากนั้นส่งรายชื่อให้คณะกรรมการสรรหา ที่ประกอบด้วย 1. ประธานสภาผู้แทนราษฎร 2. ผู้นำฝ่ายค้าน 3. ประธานศาลฎีกา 4. ประธานศาลปกครองสูงสุด 5. ตัวแทนจากองค์กรอิสระทุกแห่ง ร่วมกันคัดเลือกจนได้รายชื่อสุดท้าย ขั้นตอนหลังจากนั้น ส่งรายชื่อให้วุฒิสภาตรวจสอบประวัติและ ลงมติลับ เห็นชอบให้ใครเข้าสู่ตำแหน่ง

ไม่ควรลืมว่า รายชื่อ กกต. ชุดที่ผ่านมา เคยมีการสรรหาถึง 3 ครั้ง กว่าจะได้อรหันต์ กกต. ทั้ง 7 รายชื่อ

ล่าสุดมีรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 สิหาคม 2568 คณะกรรมการสรรหากรรมการองค์กรอิสระ ที่มีประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และผู้แทนจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด มีมติให้ความเห็นชอบบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อดำรงตำแหน่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง 2 คน คือ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อดีตปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับนายณรงค์ รักร้อย อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร โดยหลังจากนี้ จะเป็นกระบวนการส่งรายชื่อให้สมาชิกวุฒิสภาให้ความเห็นชอบต่อไป

ในสภาวะที่ สว. สายสีน้ำเงินยังคงครองเสียงส่วนใหญ่ และคุมเกมวุฒิสภาอย่างต่อเนื่อง กลุ่มผู้แสวงหาอำนาจจึงจับตากันว่า 2 รายชื่อที่จะได้เข้าสู่รอบคัดเลือก ของ สว. อาจเป็นเครือข่าย สว. สายสีน้ำเงินอีกรายหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อดีตข้าราชการที่เคยทำงานใกล้ชิดกับครอบครัว “ชิดชอบ” และบ้านใหญ่ “ชาญวีรกูล”