KKP ชี้ภาษี 19% เป็นข่าวดีระยะสั้น แต่ระยะยาวโลกการค้าเสรีกำลังหมดอายุ ต้องใช้จุดอับเป็นโอกาสปรับโครงสร้าง
วันที่ 15 สิงหาคม 2568 กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร โดย ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร นายลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ นักเศรษฐศาสตร์ และนายเคนเนท โดนัลท์ นีลเวล นักเศรษฐศาสตร์ นำเสนอมุมมองภายใต้หัวข้อ “ภาษีทรัมป์จบแล้วจริงหรือ” เจาะลึกผลกระทบจากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐและความน่าเป็นห่วงของภาษี transshipment 40% ที่หลายคนมองข้าม นัยยะและผลกระทบของการเปิดตลาดไทยให้สินค้าสหรัฐฯ ในกลุ่มสินค้าต่างๆ และมาตรการเยียวยา และก้าวต่อไปของเอกชนและภาครัฐ สำหรับเกมภาษีที่อาจจะเพียงเพิ่งเริ่มต้น
KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัวลงและยังมีความเสี่ยงด้านต่ำ แม้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีกว่าคาดในช่วงครึ่งแรกของปีจากปัจจัยชั่วคราว โดยเฉพาะการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนที่นโยบายภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้ ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัยของการท่องเที่ยวในไทย หลังเดือนสิงหาคม สินค้าส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บภาษี 19% ตามมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และอาจถือเป็นโอกาสสำคัญในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการลงทุนของไทยได้
ทำไมสหรัฐฯ ใช้นโยบายภาษีนำเข้า ?
เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและอาจไม่กลับสู่ยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) เหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต ในอดีตโลกอยู่ในยุคที่การค้าเติบโตและอัตราภาษีเฉลี่ยปรับตัวลงเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามการขยายตัวของการค้าสร้างต้นทุนให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสองประเด็นหลัก คือ 1) การย้ายการลงทุนออกนอกสหรัฐฯ เพื่อใช้ประโยชน์จากต้นทุนแรงงานต่างประเทศราคาถูก จนส่งผลกระทบต่อการจ้างงานบางส่วน และ 2) การขาดดุลทางการค้าและการคลังที่เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมา
สหรัฐฯ มีการประกาศใช้นโยบายภาษีการค้าตอบโต้ (reciprocal tariff) เพื่อปรับโครงสร้างการขาดดุลทางการค้าและการคลัง นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังต้องใช้สถานะของการเป็นผู้ซื้อสุทธิรายใหญ่ของโลกในการเจรจาต่อรองเงื่อนไขด้านต่าง ๆ แม้สหรัฐฯ จะบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับหลายประเทศในอัตราประมาณ 10-35% แต่การเจรจาการค้าจะยังมีอย่างต่อเนื่อง และเงื่อนไขสำคัญที่ยังไม่ชัดเจน คือเงื่อนไขของสินค้าส่งออกที่จะถูกเข้าข่ายว่าเป็นการสวมสิทธิจากประเทศที่สาม (transshipment) โดยเฉพาะจีน ซึ่งจะโดนเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่า (40%) เพื่อกดดันการขยายห่วงโซ่อุปทานและอิทธิพลของจีนในประเทศกำลังพัฒนา
ผลกระทบของภาระภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจะแบ่งกันระหว่างทั้งผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และผู้บริโภค การขึ้นภาษีนำเข้าอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาที่ผู้บริโภคสหรัฐฯ ต้องจ่ายโดยราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงแรก แต่หากผู้บริโภคเลือกที่จะบริโภคลดลงจะทำให้ต้นทุนของภาษีนำเข้าถูกแบ่งปันระหว่างผู้นำเข้าและผู้ส่งออกซึ่งอาจทำให้ราคาสินค้าส่งออกทั่วโลกปรับลดลงเพื่อชดเชยกับอุปสงค์ที่หายไป
ภาษีนำเข้ากระทบเศรษฐกิจไทยอย่างไร?
ผลลัพธ์การเจรจาภาษีที่ไทยได้รับนับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่หลายฝ่ายกังวล เพราะไทยถูกเก็บภาษีใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาคในอัตราที่ 19% บนเงื่อนไขที่ไม่ได้เปิดตลาดสินค้าทั้งหมดให้กับสหรัฐฯ ผลกระทบทางตรงต่อเศรษฐกิจไทยจะเกิดจากสินค้าที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่อาจจะลดลงจากราคาสินค้านำเข้าไปยังสหรัฐฯ ที่ปรับสูงขึ้น และผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศจากการเปิดตลาดมากขึ้นให้กับสินค้าจากสหรัฐฯ
KKP Research ประเมินว่าแม้ผลลัพธ์จะดีในภาพใหญ่ แต่การเจรจายังคงดำเนินต่อและมีความไม่แน่นอนสูง โดยมีอีกอย่างน้อยสองช่องทางที่เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษีของสหรัฐฯ
1) สหรัฐฯ สามารถนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นทดแทนการนำเข้าสินค้าจากไทยได้ โดยสินค้าที่ส่งออกหลักของไทย สหรัฐฯ มีการนำเข้าจากหลายประเทศ หลายภูมิภาค ตัวอย่างเช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องประดับ ในขณะที่สินค้าที่ไทยส่งออกเป็นอันดับ 1 และอาจหาอุปทานทดแทนทั้งหมดได้ยากกว่ากลุ่มอื่น ๆ คือ ยางรถยนต์ ข้าว อาหารสัตว์
2) ไทยมีแนวโน้มถูกเก็บภาษีเฉลี่ยสูงกว่าประเทศอื่นเมื่อพิจารณาความเสี่ยงเรื่อง “Transshipment” แม้เงื่อนไขของการสวมสิทธิ์ (transshipment) ยังไม่ชัดเจน แต่หากสินค้าที่ถูกตัดสินว่าสวมสิทธิ์ ก็อาจถูกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 40% โดยมีข้อมูลสะท้อนว่า สินค้าส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ จำนวนมากมีการสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตค่อนข้างต่ำ และอาจส่งผลให้มีความเสี่ยงที่สินค้าจำนวนมากจะถูกคิดภาษีถึง 40%
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่สามารถประเมินผ่านเลขส่งออก แต่ขึ้นอยู่กับผลต่อความสามารถในการแข่งขันของการผลิตภาคอุตสาหกรรมในประเทศ ข้อมูลในช่วงต้นปี 2568 สะท้อนว่าการส่งออกของไทยเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมไทยแทบไม่ขยายตัวขึ้นเลย ซึ่งหมายความว่าการส่งออกส่วนใหญ่เป็นการส่งออกที่เป็นการนำเข้ามาจากประเทศอื่น ๆ โดยใช้ไทยเป็นทางผ่านและแม้การส่งออกกลุ่มนี้จะชะลอลงก็อาจจะไม่กระทบกับเศรษฐกิจไทยมากนัก
KKP Research วิเคราะห์ว่า การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ไม่ได้เชื่อมโยงโดยตรงกับการผลิตในประเทศทั้งหมด โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ (1) สินค้าปกติที่ถูกเก็บภาษี 19% และมีมูลค่าเพิ่มในประเทศสูง ส่งผลต่อการผลิตมากที่สุด เช่น กลุ่ม อาหาร ข้าว ยางพารา (2) สินค้าที่นำเข้าจากจีนและส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยไทยแทบไม่มีบทบาทการผลิต และมีมูลค่าเพิ่มในประเทศอยู่ในระดับต่ำ เช่น แผง solar cell อุปกรณ์ network และ Wi-Fi router (3) สินค้ามูลค่าเพิ่มต่ำถึงปานกลางที่พึ่งพาวัตถุดิบจากจีนสูง และอาจถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง Transshipment ต้องเสียภาษี 40% และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับปานกลาง เช่น ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น จอมอนิเตอร์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ที่อยู่ในบัญชีได้รับยกเว้นซึ่งคาดว่ามีสัดส่วนราว 30% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ และไม่ต้องเสียภาษีเพิ่ม
KKP Research คาดว่าผลกระทบทั้งปีต่อ GDP ไทยจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะอยู่ระหว่าง 0.3–0.9 ppt หรือเฉลี่ยที่ 0.6 ppt และในกรณีที่หากสหรัฐฯ ยกเลิกรายการสินค้าที่ได้รับการยกเว้นจะทำให้ผลกระทบสูงขึ้นเป็น 0.7 – 1.1ppt และคาดว่าการส่งออกจะหดตัวลงแรงหลังจากเร่งส่งออกก่อนมาตรการมีผลบังคับใช้หลังเดือนสิงหาคม
ถึงเวลาทำเรื่องที่ต้องทำ
แนวโน้มการค้าโลกที่เปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่ไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ประเทศไทยควรเน้นการลงทุนที่เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดใหม่ ๆ แม้การเปิดตลาดสินค้าบางกลุ่มและจัดการกับปัญหา Transshipment จะเป็นต้นทุนต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ก็อาจเป็นโอกาสในการปรับตัวระยะยาวของไทยเช่นกัน
มองในแง่ดี นี่อาจเป็นโอกาสในการปรับตัวของเศรษฐกิจไทย แม้ว่าเงื่อนไขในการเจรจาภาษีนำเข้า กำหนดให้ไทยต้องเปิดตลาดแบบจำกัดให้กับสหรัฐฯ ในบางกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตร แต่ไทยไม่มีทางเลือกมากนักในโลกการค้าและการลงทุนยุคใหม่ การเปิดตลาดวัตถุดิบอย่างค่อยเป็นค่อยไปอาจเป็นโอกาสที่ทำให้ต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารลดลง และเป็นโอกาสให้ภาคเกษตรไทยมีการปรับตัว และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว ในขณะที่มาตรการที่ช่วยบรรเทาผลกระทบ และส่งเสริมให้มีการปรับตัวมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
การปรับเป้าหมายการดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างชาติที่เน้นคุณภาพมากขึ้น การลงทุนทางตรงจากต่างชาติเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ แต่ไทยมีปัญหาทั้งดึงเม็ดเงินลงทุนได้น้อยลงและการดึงดูดการลงทุนที่ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศหรือเกิดการถ่ายโอนเทคโนโลยีมากเท่าที่ควร แม้ว่าเงื่อนไขเรื่องการเก็บภาษีสินค้าส่งออกที่สวมสิทธิ์ (transshipment) อาจส่งผลลบต่อความน่าสนใจในการลงทุนจากต่างชาติในระยะสั้น แต่เป็นโอกาสให้ไทยปรับเป้าหมายการดึงดูดการลงทุนระยะยาว ที่เน้นการสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ การสร้างมูลค่าเพิ่มกับเศรษฐกิจในประเทศ และการถ่ายโอนเทคโนโลยีผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ดีในระยะยาว
เกี่ยวกับกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เกิดขึ้นจากการร่วมกิจการระหว่างธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่ดำเนินการโดย ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) และธุรกิจตลาดทุนที่ดำเนินการโดยบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เคเคพี ไดม์ จำกัด โดยกลุ่มธุรกิจฯ มุ่งนำทรัพยากรสู่ลูกค้าอย่างถูกต้อง เหมาะสม และเปี่ยมประสิทธิภาพด้วยบริการที่เหนือความคาดหมาย
ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของกลุ่มธุรกิจฯ ครอบคลุมสินเชื่อบรรษัท สินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อย เช่นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคล ส่วนธุรกิจด้านตลาดทุนของกลุ่มธุรกิจฯ ครอบคลุมธุรกิจวานิชธนกิจ (Investment Banking) ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์สำหรับผู้ลงทุนสถาบัน ธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) ธุรกิจการลงทุน (Direct Investment) ตลอดจนธุรกิจจัดการกองทุน ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.kkpfg.com