กองทัพภาคที่ 2 โพสต์เล่าเรื่องราวอีกมุมของ "พลทหารรัฐภูมิ"
เพจเฟซบุ๊ก กองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อความระบุว่า
เรื่องราวของ “พลทหารรัฐภูมิ เทพศิริ”
เสมือนกระจกหลายด้าน เหรียญหลายมุม
แต่มุมหนึ่งที่ยากจะปฏิเสธ คือ มุมแห่งความเสียสละเพื่อชาติ !
มุมของลูกกตัญญู มุมของพี่ชายที่แสนดี
มุมของคดี จะพลิกออกมุมไหน เป็นเรื่องของผู้เกี่ยวข้อง
แต่มุมที่เราจะสะท้อนนับจากนี้ คือ มุมมองที่เรามองลึกลงไปในตัวของน้องจริงๆ
.
อาลัยแด่ “พลทหารรัฐภูมิ เทพศิริ”
วีรบุรุษผู้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับสหายศึก
.
รู้หรือไม่… พลทหารรัฐภูมิ เทพศิริ คือหนึ่งในทหารกล้าที่ร่วมรบเคียงข้างพี่น้องสหายศึก ณ สมรภูมิ “ปราสาทตาควาย” เขาคือ พลยิงเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง ผู้เข้าประจำการตั้งแต่วันแรกที่เกิดการปะทะ หน้าที่ของเขาหนักหน่วงและเสี่ยงอันตรายยิ่ง แต่ชายหนุ่มผู้พูดน้อย เงียบขรึม และจริงใจผู้นี้ ก็ยอมก้าวเข้าสู่ด่านหน้าอย่างไม่ลังเล
7 วัน 7 คืนในบังเกอร์แนวหน้า
“พลทหารรัฐภูมิ” ประจำอยู่บังเกอร์หน้าแนว ร่วมกับสหายศึก เขาต่อสู้อย่างหนักหน่วงกลางเสียงปืนและระเบิดที่ดังสนั่นตลอดทั้งวันทั้งคืน
คืนแรกที่การรบปะทุ มีทั้งผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต เสียงโหยหวนปะปนกับเสียงสนั่นของกระสุน แต่เขาและสหายยังคงยืนหยัด ไม่ใช่เพียงในฐานะกำลังพล หากแต่เป็น พี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย กินด้วยกัน นอนด้วยกัน และต่อสู้เคียงข้างกัน
.
วันที่ 30 กรกฎาคม เมื่อสถานการณ์เริ่มผ่อนคลาย กำลังพลได้รับคำสั่งหมุนเวียนไปยังฐานปฏิบัติการ “วัดเขื่อนแก้ว” ตำบลกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ แต่บาดแผลทางใจจากการสู้รบที่ยาวนานเกินรับไหว ได้บีบคั้นจิตใจของเขาอย่างหนัก แม้สภาพจิตใจจะเหน็ดเหนื่อย แต่เขายังไม่เคยทอดทิ้งหน้าที่ ยังคงหยัดยืนเพื่ออธิปไตยไทยจนถึงที่สุด
ก่อนการเจรจาหยุดยิง พลทหารรัฐภูมิได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบในฐานะ “กำลังพลด่านหน้า” เขาคือผู้ที่ยืนหยัดท่ามกลางเสียงกระสุน เพื่อให้ธงไตรรงค์ยังโบกสะบัดเหนือผืนแผ่นดินไทย
.
วันที่โลกเงียบงัน
เมื่อการหยุดยิงเริ่มมีผล และสถานการณ์ชายแดนคลี่คลาย เขาและสหายได้รับการสับเปลี่ยนกลับสู่ที่ตั้งใหม่ ทว่าไม่มีใครล่วงรู้ว่า ภายในใจของชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งกลับเต็มไปด้วยความเครียดและบาดแผลทางจิตใจ
เช้ามืดวันที่ 15 สิงหาคม 2568 พลทหารรัฐภูมิ เทพศิริ ตัดสินใจยุติชีวิตของตนเองในวัยเพียง 25 ปี ภายใต้เครื่องแบบทหารที่เขารัก และบนผืนแผ่นดินที่เขาได้พิทักษ์ด้วยเลือดเนื้อและลมหายใจ นี่ไม่ใช่เพียงการสูญเสียของครอบครัว หากแต่คือความอาลัยของเพื่อนร่วมรบ ผู้บังคับบัญชา และประชาชนไทยทั้งชาติ
พลทหารรัฐภูมิ หรือ “น้องหนึ่ง” ได้กลับบ้านแล้ว
กลับสู่บ้านเกิดด้วยร่างกายไร้ลมหายใจ แต่ทิ้งไว้ซึ่งเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และความทรงจำของผู้กล้า
“สงครามอาจพรากชีวิตผู้กล้าไป แต่ไม่อาจพรากเกียรติและความเสียสละที่สถิตอยู่ในหัวใจของแผ่นดิน”
.
ชีวิตและความฝันของลูกผู้ชายชื่อ “รัฐภูมิ เทพศิริ”
รัฐภูมิเติบโตขึ้นจากความรักของบิดาและแม่เลี้ยง หลังบิดามารดาแยกทางกันตั้งแต่วัยเพียง 2 เดือน เขาเป็นคนพูดน้อย ไม่ค่อยแสดงออก แต่หากตั้งใจสิ่งใดก็พร้อมทำจนสำเร็จ
.
เมื่อถึงวัยเกณฑ์ทหาร เขาเลือกเส้นทางที่ฝันไว้คือการเป็น “ทหาร” แม้จะประสบอุปสรรคจากความไม่สมบูรณ์ของเอกสารทะเบียนบ้าน แต่ด้วยความพยายาม เขาก็สามารถแก้ไขจนสำเร็จ และได้สมัครเข้ารับราชการทหารอย่างสมความตั้งใจ
.
เดือนพฤศจิกายน 2567 เขาเข้ารับการฝึกทหารใหม่ที่กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 ค่ายวีรวัฒน์โยธิน จังหวัดสุรินทร์ และในที่สุดได้ก้าวขึ้นเป็นพลทหารประจำการเต็มภาคภูมิ
.
ลูกที่กตัญญู พี่ชายที่ห่วงน้อง
นอกเหนือจากความเป็นทหารแล้ว รัฐภูมิยังเป็นคนรักครอบครัว เงินเดือนที่ได้รับทุกเดือน เขาจัดสรรส่งให้แม่ผู้ให้กำเนิด แม่เลี้ยงที่ดูแลมา บิดา และน้องสาวที่กำลังศึกษา
คำพูดสุดท้ายที่โทรหาพ่อ เขาเอ่ยเพียงว่า “คิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน”
พร้อมโอนเงินให้น้องสาวเพื่อใช้จ่ายค่าเล่าเรียน ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็น “คำลาสุดท้าย” และ จากไป พร้อม “ความฝันที่อยากจะเห็นน้องสาวได้เรียน” เพราะตัวเขาไม่มีโอกาส
.
ด้วยเกียรติยศชายหนุ่มผู้กล้า และนี่คือ เกียรติแห่งทหารกล้า
การจากไปของพลทหารรัฐภูมิ เทพศิริ คือความสูญเสียอันใหญ่หลวง
แต่เหนือความเศร้าโศกนั้นคือเกียรติยศของชายชาติทหารผู้ยืนหยัดเพื่อชาติ
เขาคือหนึ่งในวีรบุรุษแห่งผืนแผ่นดินไทย ผู้ซึ่งเลือดเนื้อและลมหายใจได้หล่อหลอมเป็นเกราะปกป้องเอกราช และศักดิ์ศรีของกองทัพ
.
“พลทหารรัฐภูมิ เทพศิริ จะถูกจดจำในฐานะวีรบุรุษผู้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับสหายศึก เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยตราบนานเท่านาน”
ชีวิตของเขาอาจดับสูญ แต่ “เกียรติยศแห่งทหารกล้า” จะส่องสว่างอยู่ในหัวใจของพี่น้องไทยทุกคนตราบนิรันดร์
ขอบคุณเนื้อหา: ทีมข่าวWorldArmedForces