ครม.ยืดเวลาดำเนินการเป็น 6 ปีเพิ่มกรอบวงเงินงบเป็น 1,980 ล.โครงการอ่างเก็บน้ำ ห้วยกรอกเคียน
รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม.อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินการและเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณ โครงการอ่างเก็บน้ำ ห้วยกรอกเคียน จังหวัดฉะเชิงเทรา จากเดิม 1,880 ล้านบาท เป็น 1,980 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 100 ล้านบาท) ขยายเวลาดำเนินการจาก 4 ปี เป็น 6 ปี
วันนี้ (19ส.ค.) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยกรอกเคียน จังหวัดฉะเชิงเทรา จากเดิม 4 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2567) เป็นระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2569) และอนุมัติให้เพิ่มกรอบวงเงินโครงการฯ จากเดิม 1,880 ล้านบาท เป็นกรอบวงเงินใหม่ 1,980 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 100 ล้านบาท)
นายอนุกูล กล่าวว่า กรมชลประทานได้ดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีผลการดำเนินงานสะสมทั้งหมดร้อยละ 75.13 (ณ เดือนมีนาคม 2568) โดยที่ผ่านมาประสบปัญหาการดำเนินการที่ล่าช้ากว่าแผนงานซึ่งเกิดจากปัญหาในการจัดหาที่ดินก่อสร้างเนื่องจากโครงการฯ ดำเนินการก่อสร้างในเขตพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สปก.) จำนวน 560 แปลง พื้นที่จำนวน 6,147 ไร่เศษ มีราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการถูก เขตโครงการชลประทาน ประมาณ 158 หลังคาเรือน ซึ่งไม่ยอมรับราคาค่าที่ดินและค่าทดแทนทรัพย์สิน
กรมชลประทาน จึงได้ทำการชี้แจงรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของราษฎรในพื้นที่จนสามารถเข้าดำเนินการก่อสร้างได้ แต่ก็ทำให้วงเงินราคาที่ดินสูงกว่าที่ประเมินไว้ 1,200 ล้านบาท เป็น 1,210 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 10 ล้านบาท) โดยกรมชลประทาน ได้ดำเนินการจ่ายค่าที่ดินและค่าทดแทนทรัพย์สินแล้ว จำนวน 556 แปลง เนื้อที่ 6,017 ไร่เศษ มีผลการเบิกจ่าย จำนวน 1,179.62 ล้านบาท (หรือคิดเป็นร้อยละ 97.49 ของวงเงินค่าจัดหาที่ดินทั้งหมด) และความล่าช้าที่เกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ส่งผลให้ผู้รับจ้างดำเนินงานประสบปัญหาขาดแคลนวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร และไม่สามารถเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าสถานที่ก่อสร้างได้ ประกอบกับมีปัจจัยที่ส่งผลต่อวงเงินค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ทำให้ค่าวัสดุก่อสร้างและค่าขนส่งเพิ่มขึ้น รวมทั้งการปรับเพิ่มอัตราค่างาน (Unit Cost) ตามหลักเกณฑ์ของสำนักงบประมาณ (สงป.) ทำให้วัสดุมีราคาเพิ่มตามอัตราค่างานเป็นผลกระทบทำให้ต้องปรับวงเงินงบประมาณการก่อสร้างตามไปด้วย จากเดิมจำนวน 680 ล้านบาท เป็นจำนวน 770 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 90 ล้านบาท) ทำให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) จำเป็นต้องขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการจากเดิม 4 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2567) เป็น 6 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567-2569) และขออนุมัติเพิ่มกรอบวงเงินโครงการจากเดิม จำนวน 1,880 ล้านบาท เป็นจำนวน 1,980 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว และกระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สงป. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง/เห็นด้วย
ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความคุ้มค่าต่อวงเงินงบประมาณ และบรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ในการเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับการอุปโภค-บริโภค การเกษตรและภาคอุตสาหกรรม รองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศในพื้นที่ลุ่มน้ำบางปะกง จึงเห็นควรให้ กษ. โดยกรมชลประทาน กำกับ ติดตาม ผู้ดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ให้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 โดยไม่ควรให้มีการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ออกไปอีก ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ สศช.
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO