ลอว์เรนซ์ หว่อง นายกฯ สิงคโปร์ เยือนจีนอย่างเป็นทางการครั้งแรก เสนอ ‘พหุภาคีนิยมแบบยืดหยุ่น’ เป็นทางรอด
ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่ถดถอย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจโลกที่ไร้ทิศทาง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ลอว์เรนซ์ หว่อง เปิดตัวในเวทีระดับนานาชาติที่จีน กับคำกล่าวน่าสนใจว่า “ระเบียบโลกเก่ากำลังจางหายไป แต่เราต้องไม่ปล่อยให้ความสับสนมาแทนที่”
ในการประชุม World Economic Forum : Annual Meeting of the New Champions 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24–26 มิถุนายน 2025 ณ เมืองเทียนจิน สาธารณรัฐประชาชนจีน หรือที่รู้จักกันในชื่อ Summer Davos หว่องแสดงวิสัยทัศน์ระดับผู้นำโลก โดยเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ร่วมกันฟื้นฟูสถาปัตยกรรมโลกใหม่ที่มีเสถียรภาพ ครอบคลุม และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
“อย่าเพิ่งรีบฉลองว่าโลกเก่าได้จบลงแล้ว” เขากล่าว “เพราะคำถามคือ แล้วทางเลือกใหม่คืออะไร?”
แม้จะเป็นการเยือนจีนครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่หว่องไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับจีน เขาพูดภาษาจีนได้คล่อง และกล่าวอย่างสบายๆ ว่าเขามาเยือนจีน “แทบทุกปี” โดยก่อนหน้านี้ได้เข้าพบประธานาธิบดีสีจิ้นผิง และบรรยากาศก็ “เป็นไปด้วยดี”
แต่ภายใต้ท่าทีเป็นมิตรนั้น คำปราศรัยของเขาเต็มไปด้วยความเป็นจริงที่ไม่อ้อมค้อม พร้อมทั้งแฝงคำเตือนถึงภัยเงียบของโลกที่ไร้กลไกกลาง “ยุคหลังสงครามเย็นซึ่งขับเคลื่อนด้วยตลาดเสรีและการค้าข้ามพรมแดนได้จบลงแล้ว” เขากล่าว “โลกกำลังเข้าสู่ยุคชาตินิยมทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน”
ทางรอดของประเทศเล็กในโลกที่เปลี่ยนไป
เมื่อถูกถามถึงระเบียบโลกใหม่ หว่องตอบตรงไปตรงมาว่า “ไม่มีใครรู้ว่าระบบใหม่นี้จะเป็นอย่างไร” แต่เขาก็เสนอแนวทางที่เรียกว่า “พหุภาคีนิยมแบบยืดหยุ่น” (Flexible Multilateralism) นั่นคือการที่กลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายกัน ร่วมมือกันสร้างกฎกติกาใหม่แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่รอให้ทุกประเทศเห็นพ้องพร้อมกันในคราวเดียว
เขายกตัวอย่างความร่วมมือด้านการค้าอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ที่ใช้เวลากว่า 5 ปีในการเจรจา จนปัจจุบันมีประเทศเข้าร่วมมากกว่า 70 ประเทศ นับเป็นก้าวแรกของการสร้างกฎการค้าในโลกดิจิทัล “เราต้องเริ่มจากจุดเล็กๆ เหล่านี้ แล้วขยายออกไปเรื่อยๆ”
เขายังเน้นย้ำว่า การปล่อยให้ WTO หรือ IMF เสื่อมความสำคัญเป็นทางเลือกที่อันตราย “IMF เคยถูกวิจารณ์อย่างหนักในวิกฤตปี 1997 แต่หลังจากนั้นก็ได้ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นมาก” และเสนอว่าองค์กรระหว่างประเทศควร “ปรับตัว ไม่ใช่ยกเลิก”
ไม่ใช่สมดุลระหว่างจีน-สหรัฐฯ แต่คือ “จุดยืนของสิงคโปร์”
คำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุดในเวทีระดับโลกอย่างหนึ่งคือ “สิงคโปร์จะรักษาสมดุลระหว่างจีนและสหรัฐฯ อย่างไร?” หว่องตอบทันทีว่า “เรามีความสัมพันธ์ที่ดีและลึกซึ้งกับทั้งสองฝ่าย” พร้อมอธิบายว่า สิงคโปร์ไม่เลือกข้างใคร แต่เลือกยืนบน “ผลประโยชน์แห่งชาติของตนเอง”
“เราไม่ได้มองโลกเป็นการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ เรามองจากจุดยืนของสิงคโปร์ และเราจะเดินหน้าด้วยหลักการที่มั่นคงและชัดเจน”
หว่องยังระบุว่า ท่าทีแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเฉพาะของสิงคโปร์ แต่ทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างก็ต้องการมีสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งจีนและสหรัฐฯ “อาเซียนไม่อยากกลับไปเป็นสนามรบแบบสงครามเย็นอีกแล้ว”
เทคโนโลยี, ความยั่งยืน, และการเติบโตยุคใหม่
ในช่วงท้ายของบทสนทนา หว่องเน้นว่าแม้การค้าแบบเดิมอาจชะลอตัวลง แต่ “เทคโนโลยี” และ “ความยั่งยืน” จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ เขายกตัวอย่างนโยบายของสิงคโปร์ในการผลักดัน AI ไปสู่ระดับชุมชนและทุกครัวเรือน ไม่ใช่แค่ในแวดวงไฮเทค
“เราต้องแน่ใจว่าทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยีได้ ไม่ใช่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง” เขากล่าว พร้อมยกตัวอย่างความพยายามในอดีต เช่น การติดตั้งคอมพิวเตอร์ในศูนย์ชุมชนเมื่อยุค 1980s เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้และเข้าถึงเทคโนโลยีตั้งแต่วัยเยาว์
“ชีวิตไม่เคยง่ายสำหรับประเทศเล็กๆ” หว่องกล่าว “แต่เราถือว่าการเดินทางของสิงคโปร์ตลอด 60 ปีที่ผ่านมาคือปาฏิหาริย์ และภารกิจของผมคือทำให้ปาฏิหาริย์นั้นคงอยู่ต่อไปให้นานที่สุด”
ภาพ:World Economic Forum