ศาลปกครองกลาง ตีความชัด สรรหาเลขาธิการกสทช.เป็นอำนาจบอร์ด
หลังจากที่ ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2568 ในคดีที่นางสุรางคณา วายุภาพ อดีตผู้เข้ารับการสรรหาเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ฟ้อง นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ที่มีการกระทำ “นอกเหนืออำนาจหน้าที่-ใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ” ในการสรรหาเลขาธิการ กสทช. ที่ประธาน กสทช.เป็นผู้ออกประกาศสรรหาเองโดยไม่ผ่านความเห็นขอบของบอร์ด กสทช. นั้น กำลังถูกสังคมจับตามองว่า กระบวนการสรรหาเลขาธิการกสทช.ครั้งใหม่จะเริ่มขึ้นหรือไม่
แหล่งข่าวจากกสทช.ระบุว่า ศาลมีคำพิพากษาพร้อมตีความชัดเจนว่า การบริหารงานบุคคลรวมถึงกระบวนการสรรหาและแต่งตั้ง เลขาธิการ กสทช. ต้องเป็นอำนาจของ กสทช.ทั้งคณะ ไม่ใช่อำนาจของประธานหรือบุคคลใดเพียงลำพัง ตามที่ประธาน กสทช. กล่าวอ้าง โดยเนื้อหาระบุชัดว่า ตามมาตรา 60 วรรค 1 บัญญัติว่า ให้สำนักงานกสทช.มีเลขาธิการกสทช.คนหนึ่งรับผิดชอบการปฏิบัติงานของสำนักงานกสทช.ขึ้นตรงต่อประธานกรรมการและเป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้างของสำนักงานกสทช.ตามมาตรา 61 วรรค 1 บัญญัติว่าให้ประธานกรรมการโดยความเห็นชอบของบอร์ดกสทช.เป็นผู้แต่งตั้งเลขาธิการกสทช.
พ.ร.บ.กสทชฯ กำหนดให้เลขาธิการกสทช.อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของประธานและขึ้นตรงต่อประธานก็ตาม แต่ก็เป็นการกำหนดเพื่อให้การบริหารงาน การบริหารงบประมาณ และการบริหารงานบุคคลมีประสิทธิภาพและมีความเป็นเอกภาพ โดยให้ประธานมีหน้าที่กำกับดูแลแทนบอร์ดกสทชเท่านั้น ส่วนกรณีที่มาตรา 61 วรรค 1 แห่งพ.ร.บ.ดังกล่าวบัญญัติว่าให้ประธานกรรมการโดยความเห็นชอบของบอร์ดกสทช.เป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนเลขาธิการกสทช.นั้น
หากพิจารณาเกี่ยวกับขั้นตอนการบริหารงานบุคคลแล้ว จะเห็นได้ว่าการสรรหาหรือการคัดเลือกบุคคลเป็นคนละขั้นตอนการกับการแต่งตั้งเมื่อมาตรา 58 แห่งพ.ร.บ.เดียวกันอยู่ในหมวดที่ 5 ว่าด้วยเรื่องสำนักงานกสทชได้กำหนดให้ บอร์ดกสทช เป็นผู้มีอำนาจในการออกระเบียบหรือประกาศเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลตั้งแต่ตำแหน่งเลขาธิการกสทช.พนักงาน และลูกจ้าง ขั้นตอนในการสรรหาหรือการคัดเลือกเลขาธิการกสทช. จึงเป็นอำนาจของบอร์ดกสทช.
ส่วนขั้นตอนในการแต่งตั้งเลขาธิการกสทชเมื่อมาตรา 61 กำหนดว่าให้ประธานกสทช.เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนเลขาธิการกสทช.โดยความเห็นชอบของบอร์ดกสทช.จึงเป็นกรณีที่มีกฎหมายกำหนดไว้เฉพาะว่าให้ประธานกสทช.เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งเลขาธิการกสทช.หลังจากที่บอร์ดกสทช.ให้ความเห็นชอบแล้ว
หากแปลความว่าประธานกสทช.มีอำนาจในการสรรหาหรือการคัดเลือกเลขาธิการกสทช.ด้วยย่อมไม่สอดคล้องกับการบริหารงานบุคคลที่แยกขั้นตอนแต่ละขั้นตอนออกจากกันไว้แล้วและไม่สอดคล้องกับมาตรา 63 (7) แห่งพ.ร.บ.กสทช. ที่กำหนดว่าในกรณีที่เลขาธิการกสทช.มีเหตุบกพร่องต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หย่อนความสามารถ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้กฎหมายได้ให้อำนาจบอร์ดกสทช.เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาลงมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนกรรมการทั้งหมดให้เลขาธิการกสทช.ออกจากตำแหน่งได้ ซึ่งมีผลต้องให้มีการถอดถอนเลขาธิการกสทช.ตามมาตรา 61 แห่งพ.ร.บ.ดังกล่าว
ทั้งนี้ มาตรา 61 มีความหมายแต่เพียงว่าให้ประธานกสทช.เป็นผู้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งหรือถอดถอนเลขาธิการกสทช.แทนบอร์ดกสทช.เท่านั้น
นางสุรางคณา กล่าวว่า คำพิพากษาของคดีนี้ ทำให้ผู้ถูกฟ้อง มีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องมาตรา 157 จะโดยผู้ฟ้องหรือ บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งก็ได้ ส่วนตัวขออ่านคำพิพากษาอย่างละเอียดก่อนแล้วคงจะมีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะตนต้องการสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายให้กับองค์กรที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศชาติ องค์กรจะได้เข้าที่เข้าทาง
ด้านแหล่งข่าวจากกสทช.ระบุต่อด้วยว่า ประธาน กสทช. น่าจะไม่ยอมให้มีการสรรหาเลขาธิการ กสทช. เช่นเดิม โดยอ้างว่าคดียังไม่สิ้นสุดและศาลไม่ได้มีคำสั่งให้สรรหาเลขาธิการ กสทช.ใหม่ เหมือนดังที่ได้เคยอ้าง เมื่อครั้งที่มีคำพิพากษาของศาลอาญาทุจริตฯ เมื่อ 8 เม.ย. 2568 ที่ตัดสิน ยกฟ้อง 4 กสทช. และมีความเห็นว่า มติ กสทช.ที่เห็นชอบให้เปลี่ยนนายไตรรัตน์ฯ ออกจากรักษาการเลขาธิการฯ ชอบด้วยกฎหมาย แต่ประธาน กสทช.ก็ไม่ดำเนินการใดๆ แม้ว่ากรรมการ กสทช.ได้ทักท้วงไปหลายครั้งว่าต้องทำตามมติ
อย่างไรก็ตาม คงต้องดูกันต่อไปว่า ในคดีอื่นๆ ที่ ประธานกสทช. และ นายไตรรัตน์ ฟ้อง 4 กสทช.เสียงข้างมาก ทั้งทางอาญาและทางแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย ที่ส่วนใหญ่มีมูลเหตุมาจากการที่ 4 กสทช. ชี้แจงว่า ประธาน กสทช. ไม่มีอำนาจในการดำเนินการเรื่องสรรหาเลขาธิการกสทช.แต่เป็นอำนาจของกรรมการ กสทช. ทำให้มีการฟ้องในข้อหา ละเมิด ไขข่าว แพร่หลายข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียง นั้น จะจบลงอย่างไร ซึ่งคดีที่ยังเหลืออยู่ อาทิ เช่น
- วันที่ 17 ต.ค.2567 “สรณ” ฟ้อง กสทช.ธนพันธุ์ฯ ใน คดี พ4571/2567 เรียกค่าเสียหาย เป็นเงิน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี
- วันที่ 26 ธ.ค.2567 “สรณ” ฟ้อง กสทช.ธนพันธุ์ฯ พิรงรองฯ ศุภัชฯ สมภพฯ และ สำนักข่าวอิศรา ใน คดี พ5748/2567 เรียกค่าเสียหาย เป็นเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี
- วันที่ 6 ธ.ค.2567 “ไตรรัตน์” ฟ้อง กสทช.ธนพันธุ์ฯ พิรงรองฯ ศุภัชฯ และ สมภพฯ ใน คดี พ5748/2567 เรียกค่าเสียหาย ในส่วนของเงินเดือนที่โจทก์ต้องเสียไปหากได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. เดือนละ 55,371 บาท รวม 5 ปี เป็นเงิน 3.322,260 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี
และชดใช้ค่าเสียหาย ในส่วนของเงินค่าตอบแทน ประจำตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ที่โจทก์ต้องเสียไปหากได้รับแต่งตั้ง เดือนละ 50,000 บาท รวม 5 ปี เป็นเงิน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตลอดจนชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจากการได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ในลำดับชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.) แก่โจทก์ คนละ 10,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 40,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี